รีวิวหนัง The Fallout (2021) บาดแผลที่ไม่อาจมองเห็น และเสียงสะท้อนของความสูญเสีย

รีวิวหนัง The Fallout (2021) บาดแผลที่ไม่อาจมองเห็น และเสียงสะท้อนของความสูญเสีย

ข้อมูลหนัง

  • ชื่อหนัง: The Fallout (เดอะ ฟอลล์เอาท์)
  • ปีที่ฉาย: 2021
  • หมวดหมู่: ดราม่า / จิตวิทยา
  • ผู้กำกับ: Megan Park
  • ความยาว: 92 นาที
  • วันเข้าฉาย: 27 มกราคม 2022 (HBO Max)
  • คะแนน IMDb: 7.0/10

นักแสดง

  • Jenna Ortega รับบทเป็น Vada Cavell
  • Maddie Ziegler รับบทเป็น Mia Reed
  • Niles Fitch รับบทเป็น Quinton
  • Will Ropp รับบทเป็น Nick
  • Shailene Woodley รับบทเป็น Anna

ตัวอย่างหนัง The Fallout เดอะ ฟอลล์เอาท์

เรื่องย่อ The Fallout โศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนชีวิต

ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วย เวด้า (รับบทโดย เจนน่า ออร์เทก้า – Jenna Ortega) เด็กสาวมัธยมปลายธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป เธอมีเพื่อนสนิทและครอบครัวที่อบอุ่น จนกระทั่งวันหนึ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุ กราดยิงภายในโรงเรียน ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด

ในช่วงเวลาที่เสียงปืนดังขึ้น เวด้าและมีอา (Mia – รับบทโดย แมดดี้ ซิกเลอร์) นักเรียนสาวที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของโรงเรียน ต้อง หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำของโรงเรียนด้วยกัน ท่ามกลางความหวาดกลัวและเสียงกรีดร้อง พวกเธอจับมือกันและรอให้เหตุการณ์จบลง แต่ผลกระทบทางจิตใจของเหตุการณ์นี้ไม่ได้จบลงพร้อมเสียงปืน

รีวิวหนัง The Fallout (2021) บาดแผลที่ไม่อาจมองเห็น และเสียงสะท้อนของความสูญเสีย

รีวิวหนังThe Fallout เดอะ ฟอลล์เอาท์

1. ภาพรวมของภาพยนตร์

The Fallout เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และจิตวิทยา ถ่ายทอดเรื่องราวของวัยรุ่นที่ต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบทางอารมณ์หลังจาก เหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอเมริกันมาอย่างยาวนาน

สิ่งที่ทำให้ The Fallout แตกต่างจากหนังที่นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียนอื่น ๆ คือ หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวเหตุการณ์ความรุนแรงโดยตรง แต่เลือกที่จะเล่าผ่านสายตาของผู้รอดชีวิต ที่ต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไปท่ามกลางบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีวันลบเลือนได้ง่าย ๆ

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Megan Park ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการกำกับหนังแนววัยรุ่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง และได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชม เนื่องจากสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่สมจริงและสะเทือนอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม

2. หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออะไร?

The Fallout เป็นมากกว่าภาพยนตร์ดราม่า แต่มันคือภาพสะท้อนของปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจริง ภาพยนตร์เลือกนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบของความรุนแรงในโรงเรียนผ่านมุมมองของวัยรุ่นที่ต้องรับมือกับบาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็น หนังต้องการสื่อสารถึงประเด็นสำคัญหลายด้าน เช่น

  • ผลกระทบทางจิตใจของผู้รอดชีวิต: แม้ว่าผู้รอดชีวิตจะมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาต้องใช้ชีวิตภายใต้ความทรงจำที่เลวร้ายและความหวาดกลัวที่ติดตัวไปตลอด หนังแสดงให้เห็นว่า แต่ละคนรับมือกับความเศร้าโศกแตกต่างกันไป เวด้าเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากความรู้สึก ขณะที่นิคเลือกที่จะแสดงออกและต่อสู้กับระบบ
  • การกดดันทางสังคมในการ “ก้าวต่อไป” – สังคมคาดหวังให้เหยื่อสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย “การเดินหน้าต่อไป” ไม่ใช่เรื่องง่าย เวด้ารู้สึกว่าการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างรอบตัวเธอเปลี่ยนไปแล้ว
  • ปัญหาการกราดยิงในโรงเรียนและการควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐฯ – ภาพยนตร์ไม่ได้ชี้นิ้วกล่าวหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรง แต่เลือกที่จะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้บริสุทธิ์
  • ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รอดชีวิต: เวด้าและมีอาที่เคยเป็นเพียงคนรู้จักกันผิวเผิน กลับกลายเป็นเพื่อนที่เข้าใจกันมากที่สุดหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มาด้วยกัน หนังสะท้อนว่าบางครั้งมิตรภาพเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และการมีใครสักคนที่เข้าใจความเจ็บปวดของเรา อาจเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีที่สุด

3. ใครที่อาจจะชอบหนังเรื่องนี้?

รีวิวหนัง The Fallout (2021) บาดแผลที่ไม่อาจมองเห็น และเสียงสะท้อนของความสูญเสีย
  • คนที่ชอบหนังดราม่าที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและสะเทือนอารมณ์The Fallout เป็นหนังที่ไม่ได้เล่าเรื่องแบบง่าย ๆ แต่มีความซับซ้อนของอารมณ์และจิตวิทยาที่ต้องใช้การตีความ

  • ผู้ที่สนใจประเด็นปัญหาสังคมเกี่ยวกับความรุนแรงในโรงเรียน – หนังเรื่องนี้อาจช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบของเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนในมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

  • แฟนของ Jenna Ortega และ Maddie Ziegler – ทั้งสองนักแสดงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก โดยเฉพาะ Jenna Ortega ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของวัยรุ่นที่เผชิญกับภาวะ PTSD ได้อย่างสมจริง

  • คนที่ชอบหนังที่ให้ความรู้สึก “Real” และสะท้อนอารมณ์ของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมาThe Fallout ไม่มีฉากแอ็กชันหรือตอนจบที่น่าตื่นเต้น แต่มันคือหนังที่ให้ความรู้สึกสมจริงที่สุดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตหลังโศกนาฏกรรม

รีวิวข้อคิดที่ได้จาก The Fallout

“บาดแผลทางจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
– หนังแสดงให้เห็นว่าคนที่เผชิญกับเหตุการณ์เดียวกัน อาจรับมือกับมันแตกต่างกัน ไม่มีวิธีที่ “ถูกต้อง” หรือ “ผิด” ในการรับมือกับความเศร้า

“บางครั้ง เราไม่สามารถก้าวข้ามความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว”
– สังคมมักบอกให้เราก้าวต่อไปหลังจากเผชิญกับสิ่งเลวร้าย แต่สำหรับเหยื่อของความรุนแรง “การก้าวข้าม” อาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่มีใครควรเร่งให้พวกเขา “กลับมาเป็นปกติ”

“มิตรภาพเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด”
– เวด้าและมีอาไม่เคยสนิทกันมาก่อน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเธอมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น หนังแสดงให้เห็นว่าบางครั้งคนที่เข้าใจเราอาจเป็นคนที่เราไม่เคยคิดว่าจะสนิทด้วย

“ระบบที่มีปัญหาอาจไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ”
– ในขณะที่นิคออกมาต่อสู้เพื่อกฎหมายควบคุมอาวุธปืน เวด้าเลือกที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา นี่สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอไป และอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคน

สรุป – ทำไม The Fallout ถึงเป็นหนังที่ควรค่าแก่การดู?

The Fallout เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงประเด็นที่หนักและสำคัญอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นหนังที่ดูไม่ง่าย แต่ก็เป็นหนังที่ให้ข้อคิดมากมาย ภาพยนตร์ไม่ได้มีฉากดราม่าเวอร์วัง หรือพยายามชี้นำว่าเราควรคิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่กลับเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสและทำความเข้าใจกับผลกระทบของโศกนาฏกรรมด้วยตัวเอง

“นี่คือภาพยนตร์ที่อาจทำให้คุณต้องนั่งนิ่งและคิดถึงมันไปอีกนานหลังจากดูจบ” 

หากคุณกำลังมองหาหนังที่ สะเทือนอารมณ์ ลึกซึ้ง และสะท้อนถึงปัญหาสังคมได้อย่างตรงไปตรงมา The Fallout คือหนังที่คุณไม่ควรพลาด

Scroll to Top