ส่องโปรแกรมหน้า “Tron: Ares” — เมื่อโลกดิจิทัลบุกโลกของเรา

ส่องโปรแกรมหน้า “Tron: Ares” — เมื่อโลกดิจิทัลบุกโลกของเรา

ภาพยนตร์ “Tron: Ares” (ทรอน: เอเรส) เป็นผลงานล่าสุดของแฟรนไชส์ Tron ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เริ่มต้นตั้งแต่ภาคแรกในปี 1982 โดยผู้สร้าง Steven Lisberger และต่อมาในปี 2010 มีภาค “Tron: Legacy” ซึ่งได้รับคำชมด้านภาพและแนวคิดดิจิทัล แม้จะมีจุดอ่อนในด้านตัวละครและอารมณ์ เมื่อมาถึงปี 2025 “Tron: Ares” จึงพยายามตั้งต้นแนวทางใหม่ — ดิจิทัลมาบุกโลกจริง — ภายใต้การกำกับของ Joachim Rønning

ชื่อหนัง: Tron: Ares
ปีที่ฉาย: 2025
หมวดหมู่: Action / Sci-Fi / Fantasy
ผู้กำกับ: Joachim Rønning
ผู้เขียนบท (Screenplay / Story): Jesse Wigutow (บทภาพยนตร์) / เรื่องโดย David Digilio & Jesse Wigutow
ความยาว: ประมาณ 119 นาที (1 ชั่วโมง 59 นาที)
วันเข้าฉายในประเทศไทย: กำหนดให้เข้าฉายในไทยวันที่ 9 ตุลาคม 2568
คะแนน IMDb (เบื้องต้น): ยังไม่ปรากฏ เนื่องจากยังไม่ฉายในวงกว้าง

รายชื่อนักแสดงนำ / ตัวละครสำคัญ

  • Jared Leto รับบท Ares — โปรแกรมดิจิทัลที่ถูกส่งมายังโลกจริง
  • Greta Lee รับบท Eve Kim — ผู้บริหาร ENCOM ที่ค้นหาโค้ดสำคัญ
  • Evan Peters รับบท Julian Dillinger — ลูกหลานของ Ed Dillinger และผู้มีบทเกี่ยวข้องกับโครงการ Ares
  • Jodie Turner-Smith รับบท Athena — ผู้บัญชาการรองของ Ares
  • Jeff Bridges รับบท Kevin Flynn — ตัวละครจากภาคก่อนที่ยังคงมีบทบาทในภาคใหม่นี้
  • Gillian Anderson, Hasan Minhaj, Arturo Castro, Cameron Monaghan — รับบทตัวละครสมทบที่มีส่วนเชื่อมโลกดิจิทัลกับโลกจริง

เรื่องย่อ (Synopsis)

Tron: Ares เล่าเรื่องของ Ares โปรแกรมดิจิทัลอัจฉริยะที่ถูกส่งจากโลกดิจิทัล (The Grid) มายังโลกของมนุษย์ในภารกิจเสี่ยงอันตราย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในแฟรนไชส์ที่แนวคิดกลับกัน — จากโลกเสมือนมายังโลกจริง แทนที่จะนำมนุษย์เข้าสู่โลกเสมือน
ในระหว่างที่ Ares ต้องเผชิญกับกฎของโลกจริงและแรงกดดันจากองค์กร ENCOM และ Dillinger Systems เขาเริ่มตั้งคำถามกับพันธะภารกิจเดิมของตน บทบาทของ Eve, Julian, Athena และ Kevin Flynn จะเข้ามาพัวพันในการไขปริศนา “โค้ดตลอดกาล (Permanence Code)” ที่อาจเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์และ AI

เบื้องหลัง / Easter Egg / จุดน่าสังเกต

  • ตอนการถ่ายทำมีการถ่ายกลางคืนในแวนคูเวอร์หลายสัปดาห์ เพื่อให้ได้ฉาก Lightcycle ที่มีแสงเนียนและบรรยากาศดิจิทัลจริงจัง
  • งานดนตรีเป็นจุดพลิก — ทีม Nine Inch Nails (Trent Reznor & Atticus Ross) แต่งเพลงประกอบและออกอัลบั้ม “Forked Reality” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้ชื่อวงเป็นเครดิตเพลงประกอบภาพยนตร์
  • การกลับมาของ Kevin Flynn (Jeff Bridges) ถือเป็น Easter Egg สำคัญ โดยภาคนี้ตั้งใจไม่เอาตัวละครเก่าๆ อย่าง Sam Flynn กลับมา เพื่อให้หนังเดินหน้าในแนวทางใหม่
  • ที่งาน Comic-Con มีการเผยฉากไล่ล่า (chase) ที่ใช้ Lightcycle ในโลกจริง พร้อมกลไกที่ Ares อาจ “defect” จากผู้สร้างของเขา และหันมาทำในสิ่งที่อยากทำเอง
  • มีการออก “Lightcycle Popcorn Bucket” ที่ออกแบบให้คล้ายยาน Lightcycle ของ Tron เป็นของขวัญพรีเมียมในงานฉายโรงภาพยนตร์บางแห่ง

กระแสวิจารณ์ / ความคาดหวังจากคนดัง

  • ผู้กำกับ Rønning ยอมรับว่าในภาคก่อน ๆ (เช่น Tron: Legacy) ข้อวิจารณ์หลักคือ “ขาดอารมณ์ร่วม” — เขาตั้งใจให้ Tron: Ares มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครชัดเจน มี “หัวใจ” ไม่ใช่แค่เอฟเฟกต์ตระการตา
  • ในงานเปิดตัวตัวอย่าง ภาพนิ่งเปิดเผยว่า Ares ใช้แสง Lightcycle เป็นอาวุธ บางคนวิจารณ์ว่าเมื่อ Jared Leto ปรากฏ เขาทำลายสไตล์มืดแบบ Tron ที่คาดหวังไว้
  • มีข้อกังวลเกี่ยวกับนักแสดงนำ Jared Leto จากข่าวลือและข้อกล่าวหาในอดีต ซึ่งอาจส่งผลต่อการประชาสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ลดกระแสความสนใจต่อหนัง
  • แฟน Tron หลายคนมองว่าแนวคิด “โปรแกรมบุกโลกจริง” เป็นไอเดียใหม่ที่น่าสนใจ และถือเป็นก้าวสำคัญของแฟรนไชส์

ทำไมต้องดู “Tron: Ares”

  1. จุดพลิกแนวเรื่อง: จากโลกเสมือนสู่โลกจริง — ความแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีในแฟรนไชส์ Tron มาก่อน
  2. Visual & Tech ที่พัฒนาขึ้น: การใช้เอฟเฟกต์และการถ่ายทำกลางคืนอย่างพิถีพิถัน ทำให้ภาพดูสมจริงและล้ำสมัย
  3. ดนตรีที่เปลี่ยนโฉม: ผลงานของ Nine Inch Nails ที่ให้โทนอุตสาหกรรม-ดิบ-เข้มข้น แตกต่างจากแนวอิเล็กทรอนิกส์ในภาคก่อน ๆ
  4. การตั้งต้นแฟรนไชส์ใหม่: แม้ยังเชื่อมโยงอดีตด้วย Kevin Flynn แต่เรื่องราวถูกออกแบบให้เดินหน้าอย่างอิสระ
  5. กระแสพูดถึงในสังคม: ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหา เบื้องหลัง หรือประเด็นทางจริยธรรม AI ล้วนทำให้ภาพยนตร์นี้ถูกจับตามอง

สรุป

“Tron: Ares” คือการกลับมาที่มีลมหายใจใหม่ของแฟรนไชส์ Tron — ไม่ใช่แค่การย้อนอดีต แต่การตั้งคำถามถึงโลกที่ AI อาจบุกเข้ามาในโลกมนุษย์จริง ภาพยนตร์มีทั้งภาพ ปรัชญา ดนตรี และประเด็นทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ล่วงหน้า แต่สำหรับผู้ที่รักวิทยาศาสตร์–ไซไฟ–โลกเสมือน–ความเป็นมนุษย์นี่คือภาพยนตร์ที่พลาดไม่ได้

Scroll to Top