
หลังจากไตรภาค Jurassic World ปิดฉากไปแบบเสียงแตก Universal กลับมารีเซ็ตแฟรนไชส์ไดโนเสาร์อีกครั้งกับ Jurassic World: Rebirth (2025) ที่ได้ Gareth Edwards (จาก Rogue One และ The Creator) มากำกับ พร้อมการสนับสนุนของ Steven Spielberg ในฐานะโปรดิวเซอร์
ภาคนี้กลายเป็นประเด็นพูดถึงในหมู่แฟนหนังไดโนเสาร์ทั่วโลกทันทีหลังฉาย ด้วยบรรยากาศสุดคลาสสิกที่ชวนให้นึกถึง Jurassic Park (1993) แต่ก็มีความแตกต่างชัดเจนในด้านโทนและตัวละครใหม่ แล้วคุณล่ะ… รู้สึกยังไง?
เรื่องย่อแบบไม่สปอยล์
Jurassic World: Rebirth เล่าเรื่องบนเกาะ Saint-Hubert ซึ่งเป็นเขตลับขององค์กรวิจัยพันธุกรรม ที่ตั้งใจดึง DNA ไดโนเสาร์มาประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์ แต่ความทะเยอทะยานนั้นกลับปลุกชีพ “สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่” ที่อันตรายกว่าที่เคย
Zora Bennett (Scarlett Johansson), Dr. Henry Loomis (Jonathan Bailey) และ Duncan Kincaid (Mahershala Ali) ต้องร่วมมือกันฝ่าพันธุ์กลายพันธุ์อย่าง Distortus rex และ Mutadon เพื่อเอาชีวิตรอด และเปิดโปงความลับขององค์กรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแผนการ “ควบคุมธรรมชาติ”


จุดแข็งของ Rebirth
ภาพสวยคลาสสิกด้วยกล้องฟิล์ม 35 มม. เหมือนย้อนยุคหนังภาคแรกทุกเฟรม
การออกแบบไดโนเสาร์ใหม่ ที่ทั้งน่ากลัว น่าสงสาร และลึกลับ (โดยเฉพาะ Mutadon ที่บินโฉบกลางพายุ)
เสียงดนตรีโดย Alexandre Desplat สร้างอารมณ์ระทึกได้ระดับพรีเมียม
ธีม “ธรรมชาติไม่ควรถูกครอบครอง” ถูกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ผู้ชมรู้สึกได้ โดยไม่ต้องยัดเยียด
แต่ก็ยังมีจุดที่ยังน่าเสียดาย เช่น ตัวละครบางตัวไร้มิติ โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยหรือครอบครัวผู้รอดชีวิตที่มาไวไปไว, พล็อตเดาง่ายในช่วงกลางเรื่อง ทำให้ขาดแรงขับทางอารมณ์, ฉากแอ็กชันบางจุดยังขาดแรงกระแทก หากเทียบกับภาคก่อนหน้าที่เน้นความอลังการ


สำรวจความคิดเห็นคนดู
🔹 “กลับมาแล้วบรรยากาศแบบ Jurassic Park ยุค 90s ที่คิดถึงมาก”
— @JPFanClub บน Twitter/X
🔹 “ภาพสวย แต่เนื้อเรื่องเหมือนเดจาวู”
— ความเห็นบน Reddit /r/movies
🔹 “Distortus Rex นี่เอามาขายของเล่นใช่มั้ย 😅”
— คอมเมนต์บน YouTube ช่อง MovieTrax
🔹 “Scarlett Johansson คือเดอะแบก แต่บทยังไม่สุดเท่าไหร่”
— จากเพจ Facebook “ดูหนังกับลุง”
🔹 “ให้ 7 เต็ม 10 พอ หนังไม่พัง แค่ไม่ใหม่”
— รีวิวสั้นจาก Pantip กระทู้ #JurassicRebirth2025
🎯 จากการสังเกต: คนที่ชอบบรรยากาศคลาสสิกและโทนไซไฟหนักแน่นมักให้คะแนนสูง (7–8)
ขณะที่คนที่อยากได้ความสดใหม่ในพล็อตกลับมองว่า “ยังไม่ทะลุเพดานเดิม”
สรุปแบบไม่อวย
Jurassic World: Rebirth คือการ “กลับบ้าน” ของแฟรนไชส์ที่เคยยิ่งใหญ่
แม้จะไม่ได้แปลกใหม่ที่สุดในด้านเนื้อหา แต่ด้วยโทนคลาสสิก บรรยากาศที่กดดัน และไดโนเสาร์ที่ถูกสร้างมาด้วยวิธีคิดที่จริงจัง มันคือ “หนังไดโนเสาร์ที่ควรค่ากับโรงภาพยนตร์” สำหรับทั้งแฟนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
แล้วคุณล่ะ? ให้กี่คะแนน?
⭐ ฉากที่คุณชอบที่สุดคืออะไร?
🧬 คุณว่าไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่เวิร์กไหม?
🎞 ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 — คุณจะให้เท่าไร?

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน