
ในโลกภาพยนตร์แอนิเมชันที่เต็มไปด้วยสีสันและจินตนาการ มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่สามารถฝังความประทับใจในใจผู้ชมได้ลึกและยาวนานเท่า How to Train Your Dragon จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของเด็กชายกับมังกร กลับค่อย ๆ พาผู้ชมเติบโตไปกับเรื่องราวของการยอมรับ ความกล้าหาญ และการเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ทั้งสามภาคกลายเป็นไตรภาคสุดตราตรึงที่ไม่ได้เล่าแค่การผจญภัย แต่คือภาพสะท้อนของการเติบโตในชีวิตจริงอย่างงดงาม

ภาค 1: How to Train Your Dragon (2010) — จุดเริ่มต้นของมิตรภาพ
ภาคแรกเปิดตัวด้วยโลกของชาวไวกิ้งที่ต่อสู้กับมังกรเพื่อความอยู่รอด ฮิคคัพ (Hiccup) เด็กหนุ่มขี้แพ้ผู้แตกต่างจากนักรบไวกิ้งทั่วไป มีความฝันอยากพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับ “ทูธเลส” (Toothless) มังกรเผ่าไนท์ฟิวรี่ผู้ลึกลับที่เขาบาดเจ็บไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่แทนที่จะจบชีวิตมังกร ฮิคคัพกลับเลือกจะเรียนรู้จากมัน ความกลัวกลายเป็นความเข้าใจ และความเข้าใจกลายเป็นมิตรภาพลึกซึ้งที่เปลี่ยนแปลงโลกของเขาไปตลอดกาล ความสัมพันธ์ของคนกับมังกรในภาคนี้สร้างอารมณ์ร่วมได้ดีเยี่ยม แอนิเมชันสวยงาม และซาวด์แทร็กของ John Powell ยกระดับฉากสำคัญอย่างการบินครั้งแรกให้เป็นตำนานของวงการแอนิเมชันไปเลย

ภาค 2: How to Train Your Dragon 2 (2014) — การเติบโตและการสูญเสีย
ห้าปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ฮิคคัพเติบโตขึ้น กลายเป็นหนุ่มที่ไม่เพียงแต่เชื่อในสันติภาพ แต่ยังค้นหาตัวตนของตนเอง ในขณะที่เบิร์คเปลี่ยนจากหมู่บ้านนักล่ามังกรสู่ชุมชนที่อยู่ร่วมกับมังกรอย่างสงบ
ภาคนี้ยกระดับทั้งด้านเนื้อหาและอารมณ์ มีความดราม่ามากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของการสูญเสียพ่อ ซึ่งทำให้ฮิคคัพต้องเรียนรู้การเป็นผู้นำจริง ๆ ตัวร้ายอย่างดราโก้สร้างแรงกดดันให้เรื่องเดินหน้าอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันการพบแม่ที่หายไปนานก็เติมเต็มส่วนลึกในจิตใจของฮิคคัพได้อย่างงดงาม
นี่คือภาคที่แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวไม่ได้จำกัดอยู่แค่เด็กกับมังกรอีกต่อไป แต่พูดถึงครอบครัว ภาระหน้าที่ และความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาค 3: How to Train Your Dragon: The Hidden World (2019) — การปล่อยวางเพื่อให้เติบโต
ในภาคสุดท้ายของไตรภาค ฮิคคัพและทูธเลสเผชิญกับบททดสอบสุดท้าย เมื่อต้องหาทางพาชาวเบิร์คและเหล่ามังกรหลบหนีจากนักล่ามังกรผู้โหดเหี้ยม สู่ “โลกที่ซ่อนอยู่” (The Hidden World) ดินแดนลี้ลับในตำนานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเหล่ามังกร
ท่ามกลางภารกิจ ฮิคคัพต้องเรียนรู้บทเรียนที่ยากที่สุดในชีวิต — การปล่อยมือจากสิ่งที่รักเพื่อให้มันได้มีชีวิตของมันเอง ฉากจบของภาคนี้ทั้งงดงามและบีบหัวใจ บทสรุปของมิตรภาพระหว่างเด็กชายกับมังกรที่ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายได้ดีกว่าภาพที่เรามองเห็น
การจากลาที่ไม่ใช่เพราะหมดรัก แต่เป็นเพราะรักมากพอที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามมีอิสระ คือจุดพีคทางอารมณ์ของแฟรนไชส์นี้อย่างแท้จริง
ก้าวต่อไปของตำนาน: เมื่อมังกรกำลังจะกลับมาในฉบับ Live Action
แม้ไตรภาคแอนิเมชันจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบในปี 2019 แต่ตำนานของฮิคคัพและทูธเลสยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เพราะ How to Train Your Dragon กำลังจะถูกนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งในรูปแบบ ภาพยนตร์ Live Action โดยยังคงได้ Dean DeBlois ผู้เขียนบทและผู้กำกับจากฉบับแอนิเมชัน มานั่งแท่นผู้กำกับเช่นเดิม นับเป็นการเดินทางต่อที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
Live Action ฉบับนี้ไม่ได้เป็นภาคต่อ แต่เป็นการ รีเมก เรื่องราวจากภาคแรกในฉบับคนแสดง ที่มีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างเด็กชายกับมังกรให้เข้าถึงกลุ่มผู้ชมใหม่อีกครั้ง ด้วยความสมจริงของเทคโนโลยี CG ยุคใหม่ และนักแสดงที่ได้รับเลือกมาอย่างพิถีพิถัน บทบาทของฮิคคัพและแอสทริดถูกวางไว้ให้แสดงโดยนักแสดงดาวรุ่งอย่าง Mason Thames (จาก The Black Phone) และ Nico Parker (จาก The Last of Us)
ในขณะที่แฟนคลับบางส่วนตั้งคำถามว่าเรื่องราวที่งดงามในแอนิเมชันจะถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้งเท่าเดิมหรือไม่ แต่อีกด้านหนึ่งก็เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าฉบับ Live Action จะเปิดมุมมองใหม่ และทำให้โลกของ How to Train Your Dragon กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในรูปแบบที่สมจริงยิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้ How to Train Your Dragon เป็นมากกว่าแค่ “หนังเด็ก” ก็คือหัวใจของเรื่อง — มิตรภาพ ความเข้าใจ และการเติบโตของตัวละคร ซึ่งไม่ว่าจะถูกเล่าในแอนิเมชันหรือ Live Action ก็ยังคงเป็นแก่นหลักของเรื่องอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
หากคุณเคยหลงรักทูธเลสในเวอร์ชันแอนิเมชัน เตรียมหัวใจไว้ให้พร้อม เพราะอีกไม่นาน เราอาจได้เห็นเขาบินโฉบเหนือท้องฟ้าจริง ๆ ในโรงภาพยนตร์ที่มาพร้อมเสียงปีกกระพือและประกายตาแห่งความผูกพันแบบที่เรารอคอยมานาน
How to Train Your Dragon ไม่ใช่แค่หนังแอนิเมชัน แต่มันคือบทเรียนชีวิตที่สอนผ่านเรื่องราวของมิตรภาพ การยอมรับความแตกต่าง การสูญเสีย และการเติบโตทั้งในฐานะมนุษย์และในฐานะคนที่ต้องเรียนรู้การ “ปล่อยมือ”
แอนิเมชันที่สวยงาม ดนตรีประกอบสุดประทับใจ และบทที่ลึกซึ้ง ทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นมากกว่าความบันเทิง — มันคือสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของคนดูตลอดไป และถ้าคุณยังไม่เคยดูหรือเคยดูเพียงภาคเดียว เราอยากให้คุณเปิดใจดูทั้งไตรภาค แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมคนทั่วโลกถึงหลงรักเด็กชายและมังกรคู่นี้

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน