
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: Mission: Impossible – The Final Reckoning (มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล: ปิดปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะ)
- ปีที่ฉาย: 2025
- หมวดหมู่: แอ็กชัน / ระทึกขวัญ / สายลับ
- ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี (Christopher McQuarrie)
- ความยาว: 164 นาที
- วันเข้าฉาย: 17 พฤษภาคม 2025 (ประเทศไทย)
- คะแนน IMDb: 7.7 / 10 (ณ วันที่รีวิว)
ตัวอย่าง
เรื่องย่อ
ในภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ Mission: Impossible อีธาน ฮันต์และทีม IMF ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับโลกจาก “The Entity” ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถควบคุมระบบนิวเคลียร์ทั่วโลกได้ ฮันต์ต้องออกตามหาพิกัดลับที่สามารถหยุดยั้ง AI ตัวนี้ได้ ก่อนที่โลกจะเข้าสู่หายนะ
การเดินทางนำพาพวกเขาไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรปใต้ สู่เทือกเขาสวิส และห้องปฏิบัติการลับใต้ทะเลทรายซาฮารา พร้อมกับการเผชิญหน้ากับศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลก
นักแสดง
ทอม ครูซ (Tom Cruise) รับบท อีธาน ฮันต์
เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ (Hayley Atwell)
รีเบคกา เฟอร์กูสัน (Rebecca Ferguson)
วิง เรมส์ (Ving Rhames)
ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg)
วาเนสซา เคอร์บี (Vanessa Kirby)
เอไซ โมราเลส (Esai Morales)


รีวิวหนัง Mission: Impossible – The Final Reckoning (2025) ปิดฉากภารกิจสายลับในตำนาน ด้วยศึก AI แห่งศตวรรษ
Mission: Impossible – The Final Reckoning (2025) คือจุดสิ้นสุดของตำนานสายลับ อีธาน ฮันต์ ที่แฟนๆ ทั่วโลกร่วมติดตามมากว่า 30 ปี การปิดม่านภารกิจสุดท้ายของแฟรนไชส์นี้ไม่ได้มาแบบเงียบๆ แต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนทั้งทางสายตา อารมณ์ และคำถามด้านจริยธรรม ที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากภาคก่อนๆ อย่างชัดเจน
1. ปมหลักที่ลึกขึ้น: เมื่อศัตรูไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ในภาคนี้ The Entity หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับสูง คือภัยคุกคามหลัก ไม่ใช่แค่กับตัวละครในเรื่อง แต่ยังสะท้อนความกังวลร่วมของโลกจริงในยุคที่ AI ก้าวเข้ามาควบคุมทุกมิติของชีวิตมนุษย์ หนังตั้งคำถามอย่างเฉียบคมว่า “เราจะไว้ใจระบบที่ฉลาดกว่าเราจริงหรือ?” ซึ่งเป็นคำถามที่แม้แต่ฮันต์เองยังเริ่มสั่นคลอน
การเปลี่ยนศัตรูจากคนเป็น AI ทำให้ภารกิจของอีธานซับซ้อนและหนักหนากว่าครั้งใด ต้องอาศัยการตัดสินใจที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีแต่ทางเลือกที่ต้องยอมแลก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเพื่อนร่วมทีม ความไว้วางใจ หรือแม้กระทั่งเป้าหมายของตัวเขาเอง
2. การแสดงของทอม ครูซ: บาดลึกและจริงใจมากกว่าที่เคย
แม้ทอม ครูซจะเป็นที่รู้จักในเรื่องของฉากสตั๊นต์สุดระห่ำ แต่ในภาคนี้เขามอบอะไรที่มากกว่านั้น เขาทลายกำแพงของความเป็น “ฮีโร่ไร้เทียมทาน” แล้วเปิดเผยอีธาน ฮันต์ในมุมที่เปราะบางที่สุด เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าอีธาน “แก่ลง เหนื่อยล้า และหวั่นไหว” ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่คือภายในจิตใจ
ฉากอารมณ์ในภาคนี้โดดเด่นมากกว่าทุกภาค โดยเฉพาะฉากที่อีธานต้องเลือกว่าจะช่วยใคร หรือปล่อยใครไปเพื่อภารกิจ เขาไม่ได้เป็นแค่สายลับ แต่กลายเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีความรัก มีความกลัว และต้องยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้อีกต่อไป
3. งานสร้างระดับปรากฏการณ์: แอ็กชันที่ไม่ใช่แค่โชว์ แต่มีน้ำหนัก
แน่นอนว่า Mission: Impossible ย่อมมาพร้อมฉากเสี่ยงตายระดับโลก และภาคนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง ฉากไล่ล่าในเวนิส การปะทะในเทือกเขาแอลป์ และไคลแมกซ์บนรถไฟความเร็วสูง ถูกกำกับด้วยฝีมือที่เฉียบขาดของคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี ไม่ใช่แค่ตื่นเต้น แต่ “หมายถึงบางอย่าง” ในเรื่องเสมอ
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพัฒนาในแฟรนไชส์นี้คือ “การใช้พื้นที่อย่างมีความหมาย” ทุกเมืองที่ทีม IMF ไป ไม่ใช่แค่ฉากหลังสวยงาม แต่สะท้อนสภาพจิตใจของตัวละคร และไดนามิกของทีมที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
4. น้ำหนักของมิตรภาพ ความรัก และการเสียสละ
รีเบคกา เฟอร์กูสัน และไซมอน เพ็กก์ กลับมาสานต่อเคมีที่ผู้ชมรัก ขณะที่เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ ได้รับบทบาทที่มีมิติและโดดเด่น โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ใครควรไว้ใจได้ในโลกที่ความจริงถูกควบคุมโดย AI” ทุกตัวละครต้องผ่านบททดสอบที่ทำให้พวกเขาเติบโตหรือพังทลาย
หลายฉากในเรื่องแฝงความเศร้า ความขม และการจากลาไว้แบบไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ “รู้สึกได้” ผ่านสายตาและการกระทำของตัวละคร ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้ Final Reckoning ไม่ใช่แค่ภาคจบของหนังแอ็กชัน แต่เป็นภาคที่พูดเรื่อง “มนุษย์” ได้ดีที่สุดในซีรีส์
บทสรุป
Mission: Impossible – The Final Reckoning ไม่ใช่เพียงแค่ภาคปิดของหนังสายลับ แต่มันคือภาพยนตร์ที่กล้าพูดถึงการต่อสู้ภายใน ความสับสนในจิตใจ และการลาจากของยุคหนึ่งในวงการหนัง ทอม ครูซทุ่มเททุกอย่างไว้ในบทสุดท้ายนี้ ทั้งร่างกาย หัวใจ และจิตวิญญาณ เพื่อบอกลาแฟรนไชส์ที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นมาตลอดชีวิต
หากคุณเคยมีช่วงเวลาใดที่หลงใหลใน Mission: Impossible ภาคนี้คือการปิดม่านที่คู่ควร หากคุณไม่เคยติดตามมาก่อน ภาคนี้ก็ยังเป็นหนังที่ครบเครื่อง สะเทือนใจ และสั่นสะเทือนความคิดได้ไม่แพ้ใคร
คะแนนส่วนตัว: 9.2 / 10 – ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ และเปิดประเด็นให้เราคิดต่ออีกยาวนานหลังจากไฟบนจอภาพดับลง

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน