
ข้อมูลซีรีส์
- ชื่อซีรีส์: Love, Death & Robots: Volume 4
- ปีที่ออกอากาศ: 2025
- ประเภท: แอนิเมชัน / ไซไฟ / ดราม่า / สยองขวัญ / ตลก
- ผู้สร้าง: ทิม มิลเลอร์ (Tim Miller)
- ผู้อำนวยการสร้าง: เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher), เจนนิเฟอร์ ยู่ห์ เนลสัน (Jennifer Yuh Nelson)
- จำนวนตอน: 10 ตอน
- ความยาว: 6–17 นาทีต่อตอน
- วันออกอากาศ: 15 พฤษภาคม 2025
- ช่องทางการรับชม: Netflix
- คะแนน IMDb: 8.4/10
ตัวอย่าง
เรื่องย่อ
Love, Death & Robots: Volume 4 เป็นซีรีส์แอนิเมชันแนวไซไฟ-สยองขวัญ-ตลก ที่นำเสนอเรื่องราวสั้น ๆ 10 ตอน โดยแต่ละตอนมีเนื้อหาและสไตล์การเล่าเรื่องที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การแสดงคอนเสิร์ตของวง Red Hot Chili Peppers ในรูปแบบแอนิเมชัน ไปจนถึงเรื่องราวของแมวที่กลายเป็นผู้นำโลก ซีรีส์นี้ยังคงรักษาความหลากหลายและความสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ไว้ได้อย่างดี
นักพากย์
เควิน ฮาร์ต, จอห์น โอลิเวอร์, มิสเตอร์บีสต์, แดน สตีเวนส์, คริส พาร์เนลล์, ไรส์ ดาร์บี้, ไบ หลิง, เอมี เซดาริส, เนียซี แนช-เบตส์, เบรตต์ โกลด์สตีน และอื่น ๆ


รีวิวซีรีส์ Love Death & Robots ซีซั่น 4 (2025) แอนิเมชั่นแห่งความสร้างสรรค์และหลากหลายที่คุณไม่ควรมองข้าม
หลังจากเดินทางมาถึงซีซั่นที่ 4 หลายคนอาจคาดหวังว่านี่จะเป็นเพียงการสานต่อ “สูตรสำเร็จ” เดิม ๆ ของ Love, Death & Robots แต่สิ่งที่ซีซั่นใหม่นี้พิสูจน์คือ การที่ซีรีส์แอนโธโลจีเรื่องนี้ยังคงกล้าท้าทายขอบเขตของ “การเล่าเรื่องสั้นผ่านแอนิเมชัน” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และในขณะที่บางตอนอาจมีจังหวะไม่เท่ากัน แต่ภาพรวมคือผลงานที่เต็มไปด้วยไอเดียจัดจ้าน ท้าทายจริยธรรม และขยี้ความรู้สึกได้แบบเฉียบคมไม่แพ้บทกวีไซไฟ
1. ความโดดเด่นที่ยังรักษาไว้ – ความหลากหลายที่แท้จริง
จุดแข็งที่สุดของซีรีส์นี้คือ “ความไม่เหมือนกันเลยสักตอน” — ทั้งในด้านภาพ เสียง สไตล์การวาด และการเล่าเรื่อง Volume 4 ยังคงเลือกที่จะพาผู้ชมท่องไปตั้งแต่ดิสโทเปียสกปรกบนดาวเคราะห์ไร้น้ำ ไปจนถึงจักรวาลแนวเสียดสีอารมณ์ขันแบบขมปร่า ทุกตอนเหมือนห้องทดลองความคิด ที่สร้างมาเพื่อให้คนดู “คิดต่อ” มากกว่าจะ “รู้สึกจบ” แล้วปล่อยผ่าน
เช่นในตอน Golgotha ที่เอาคอนเซ็ปต์มนุษย์ต่างดาวนับถือโลมา มาเล่นกับศาสนาและพฤติกรรมการสักแต่บูชาโดยไร้แก่นสาร หรือใน Spider Rose ที่แม้จะอยู่ในกรอบของไซไฟสายแอ็กชัน แต่กลับพาเราไปถึงปลายทางของการตั้งคำถามเรื่อง “ความจำเป็นของการไล่ล่า”
2. การเล่าเรื่องที่กล้าชนความกลัวพื้นฐานของมนุษย์
หลายตอนในซีซั่นนี้ ไม่ได้มีความพยายามจะทำให้คนดู “อิน” กับเนื้อหา แต่พยายามจะ “เขย่า” ความเชื่อ ความเคยชิน และความคาดหวัง เช่นตอน How Zeke Got Religion ที่เล่นกับการตั้งคำถามว่า “เรารู้จริงหรือไม่ว่าเราเชื่ออะไร?” หรือ The Other Large Thing ที่นำเสนอมุมมองแมวครองโลกแบบเสียดสี แต่น่าขนลุกอย่างคาดไม่ถึง
อีกสิ่งที่ชัดคือซีซั่นนี้ลดความ “บ้าพลัง” แบบซีซั่นแรกลง แล้วแทนที่ด้วยความ “เฉียบและเงียบ” มากขึ้น — คือดูจบแล้วไม่ตกใจ แต่ “คิดตามแบบติดอยู่ในหัว” ได้หลายวัน
3. งานภาพและเทคนิคที่ยังไม่เคยหยุดนิ่ง
ระดับเทคนิคในซีซั่นนี้ยังคงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ใช้ full CGI แบบสมจริงจนแทบแยกไม่ออกกับ live-action หรือสไตล์แบบ 2D ดิบๆ ที่แสดงพลังของอารมณ์และการเคลื่อนไหวแทนความอลังการ งานภาพใน Love, Death & Robots ไม่ได้มีไว้แค่ “ทำให้สวย” แต่มันถูกใช้เป็น “ภาษาหนึ่งของการเล่าเรื่อง” อย่างแท้จริง
คำถามที่ยังทิ้งไว้ — ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ
สิ่งที่ซีซั่นนี้ยังคงสื่อคือ… “ความกลัวของมนุษย์” ที่ไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่ารูปแบบโลกจะล้ำหน้าแค่ไหน ทั้งความกลัวตาย ความโดดเดี่ยว ความสิ้นหวังในเทคโนโลยี หรือแม้แต่ความรู้สึกผิดที่ไม่มีที่ให้อภัย
บางตอนอาจดูธรรมดาเมื่อเทียบกับตอนฮิตในอดีตอย่าง Zima Blue หรือ Beyond the Aquila Rift แต่หากพิจารณาในบริบทของปี 2025 ที่ AI, ศาสนา, ทรัพยากรโลก และการดิ้นรนทางชนชั้นกลับมาอยู่กลางเวทีอีกครั้ง… Volume 4 ก็ยังเป็นกระจกที่สะท้อนสังคมได้เจ็บคมพอ ๆ กับข่าวหน้าหนึ่ง
บททิ้งท้าย
แม้บางตอนจะไม่ได้สะเทือนอารมณ์เท่าซีซั่นก่อน ๆ แต่ในแง่ “ความกล้าในการทดลอง” ซีซั่น 4 คือบทพิสูจน์ว่า Love, Death & Robots ไม่ใช่แค่แอนิเมชันเจ๋ง ๆ สำหรับคอไซไฟ แต่คือสนามประลองของศิลปะการเล่าเรื่องที่อยู่เหนือข้อจำกัดของเวลา ภาษา และความยาว
ถ้าคุณเคยคิดว่า “แอนิเมชัน” คือของเล่นเด็ก — ลองดูซีซั่นนี้ แล้วคุณอาจไม่กล้าพูดคำนั้นอีกเลย

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน