รีวิวหนัง The Wolf of Wall Street (2013) เมื่อชีวิตรวยล้น กลายเป็นเกมเสี่ยงตายที่ไร้จุดจบ

รีวิวหนัง The Wolf of Wall Street (2013) เมื่อชีวิตรวยล้น กลายเป็นเกมเสี่ยงตายที่ไร้จุดจบ

ข้อมูลหนัง

  • ชื่อหนัง: The Wolf of Wall Street คนจะรวยช่วยไม่ได้
  • ปีที่ฉาย: 2013
  • หมวดหมู่: ชีวประวัติ / อาชญากรรม / ดราม่า / ตลกร้าย
  • ผู้กำกับ: มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese)
  • ความยาว: 180 นาที
  • วันเข้าฉาย: 25 ธันวาคม 2013 (สหรัฐอเมริกา)
  • คะแนน IMDb: 8.2 / 10

นักแสดงและบทบาท

  • ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) รับบท จอร์แดน เบลฟอร์ต — นายหน้าค้าหุ้นผู้กลายเป็นมหาเศรษฐีด้วยวิธีผิดกฎหมาย

  • โจนาห์ ฮิลล์ (Jonah Hill) รับบท ดอนนี่ อซอฟฟ์ — หุ้นส่วนคนสนิทที่เต็มไปด้วยความบ้าบิ่น

  • มาร์ก็อต ร็อบบี้ (Margot Robbie) รับบท นาโอมิ ลาพาเกลีย — ภรรยาสาวผู้สวยเฉียบและเด็ดขาด

  • แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) รับบท มาร์ค ฮันนาห์ — นายหน้ารุ่นใหญ่ ผู้ปลุกจิตวิญญาณวอลล์สตรีทให้จอร์แดน

  • ไคล์ แชนด์เลอร์ (Kyle Chandler) รับบท เจ้าหน้าที่ FBI แพทริก เดนแฮม — คนที่พยายามโค่นระบบอันมั่วซั่วของ Stratton Oakmont

ตัวอย่างหนัง

เรื่องย่อ

The Wolf of Wall Street ดัดแปลงจากหนังสืออัตชีวประวัติของ จอร์แดน เบลฟอร์ต ที่เริ่มจากนายหน้าค้าหุ้นธรรมดา ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีด้วยกลโกงการตลาดหุ้นเพนนี (penny stock) และการชักชวนให้นักลงทุนรายย่อยเทเงินเข้าบริษัทโดยไม่มีมูลค่าที่แท้จริง

เขาก่อตั้งบริษัท Stratton Oakmont ที่กลายเป็นอาณาจักรของความฟุ้งเฟ้อ: ปาร์ตี้, ยาเสพติด, โสเภณี, การใช้ชีวิตเกินกว่าขอบเขตใด ๆ ในโลกแห่งความจริง แต่เบื้องหลังความสำเร็จกลับเต็มไปด้วยการหลอกลวง ความรุนแรงทางจิตใจ และความพินาศที่รออยู่ในเงามืด

รีวิวหนัง The Wolf of Wall Street (2013) เมื่อชีวิตรวยล้น กลายเป็นเกมเสี่ยงตายที่ไร้จุดจบ

รีวิวหนัง The Wolf of Wall Street (2013) เมื่อชีวิตรวยล้น กลายเป็นเกมเสี่ยงตายที่ไร้จุดจบ

1. บทหนัง

บทภาพยนตร์เขียนโดย เทอเรนซ์ วินเทอร์ (Terence Winter) (ผู้สร้าง Boardwalk Empire) ได้รับคำชมอย่างสูงว่า ทั้งฉลาดและสกปรกในเวลาเดียวกัน ด้วยบทพูดที่ทรงพลัง เสียดสี และสะท้อนความโง่เขลาของ “คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดในห้อง” ได้อย่างเจ็บแสบ

แม้หนังจะมีฉากที่ดูเหมือนไม่จำเป็น แต่ทุกอย่างคือ “ภาพสะท้อน” ที่ผู้สร้างตั้งใจให้เรารู้สึกอิ่มตัวและเหนื่อยไปพร้อมกับตัวละคร — เพื่อถามกลับมาว่า “ทั้งหมดนี้ มันคุ้มไหม?”

2. การแสดง

ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ มอบการแสดงที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของชีวิต ด้วยพลัง ความดิบ ความบ้าระห่ำ และช่วงเวลาที่เขาสลัดภาพความเป็นคนดีจนหมดสิ้น เขาคือ จอร์แดน เบลฟอร์ต โดยสมบูรณ์แบบ

หนึ่งในซีนที่ผู้ชมจดจำได้ตลอดกาลคือ “ฉากคลานกลับบ้าน” หลังเสพยาเกินขนาด ที่ทั้งตลกและสะเทือนใจในคราวเดียว — เป็นตัวอย่างของการใช้ร่างกายในการแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

ด้าน โจนาห์ ฮิลล์ ก็เฉียบไม่แพ้กัน เขาสลัดภาพตลกใสซื่อมาเป็นตัวละครที่บ้าระห่ำจนดู “น่าอึดอัด” — แต่ก็สะกดคนดูให้จ้องเขาไม่ละสายตา

รีวิวหนัง The Wolf of Wall Street (2013) เมื่อชีวิตรวยล้น กลายเป็นเกมเสี่ยงตายที่ไร้จุดจบ

3. ประเด็นเชิงลึกที่หนังหยิบยก

  • เงิน = อำนาจ หรือ ความโกลาหล?
    หนังตั้งคำถามสำคัญว่า “เงิน” ที่ได้มาอย่างรวดเร็วนั้น จริง ๆ แล้วนำมาซึ่งอิสรภาพ หรือกลายเป็นกรงทองที่กักขังเรา

  • การหลอกลวงที่ถูกสรรเสริญ
    จอร์แดนไม่ได้หลอกคนแค่ในตลาดหุ้น แต่ยังหลอกคนทั้งโลกว่าความสำเร็จของเขาคือสิ่งที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง

  • สังคมที่หลงไหลใน “ฮีโร่ที่ฉ้อโกง”
    การที่เขาเขียนหนังสือ และกลายเป็น “ไอดอล” ในสายตาบางคน สะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ยกย่องความสำเร็จเหนือคุณธรรม

4. เทคนิคงานสร้าง

มาร์ติน สกอร์เซซี เลือกใช้การเล่าเรื่องแบบ breaking the fourth wall (ให้ตัวละครหันมาพูดกับผู้ชม) เพื่อดึงคนดูให้เข้าไปอยู่ในโลกของ จอร์แดน เบลฟอร์ต อย่างใกล้ชิด ตัวหนังมีการตัดต่อที่รวดเร็ว ร้อนแรง และมีจังหวะที่เฉียบคมจนเหมือนหนังเพลงเร้าใจ

ดนตรีประกอบ คืออีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่อง โดยสกอร์เซซีใช้เพลงจากหลากหลายยุคทั้ง ยุค 60s-80s เพื่อเสริมกลิ่นอายวอลล์สตรีทยุคดิบๆ ที่เต็มไปด้วยพลังและความบ้าคลั่ง

แต่ที่โดดเด่นและกลายเป็นหนึ่งในฉากเปิดตัวที่น่าจดจำที่สุด คือการเลือกใช้เพลง “Black Skinhead” ของ Kanye West ประกอบในซีนเปิดของจอร์แดนตอนใช้ชีวิตหรูหราแบบสุดขั้ว เพลงนี้เติมความเข้มข้น ป่าเถื่อน และพลังดิบที่สะท้อนตัวตนของเบลฟอร์ตได้อย่างแม่นยำ ด้วยบีตหนักๆ และเนื้อหาที่กระแทกใจ มันไม่ใช่แค่เพลงประกอบ แต่เป็นการ “แถลงเจตนารมณ์” ว่านี่คือโลกของหมาป่า — โลกที่ขับเคลื่อนด้วยความบ้าคลั่งเหนือเหตุผล

กระแสตอบรับของภาพยนตร์เรื่อง The Wolf of Wall Street (2013)

หนังทำรายได้กว่า $400 ล้านเหรียญทั่วโลก และกลายเป็น หนึ่งในหนังเรท R ที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาล หนังได้เข้าชิง 5 รางวัลออสการ์ (รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชาย) แม้จะไม่ได้รางวัลใดกลับบ้าน แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผลงานระดับตำนานของศตวรรษที่ 21

สรุปทิ้งท้าย

The Wolf of Wall Street คือภาพยนตร์ที่ทั้งบันเทิง เร้าใจ และเสียดสีระบบโลกทุนนิยมอย่างถึงพริกถึงขิง ถ้าคุณชอบหนังที่พาคุณขึ้นรถไฟเหาะของอารมณ์ ทั้งฮา ดิบ คลั่ง เครียด และตั้งคำถามกับตัวเอง — หนังเรื่องนี้จะพาคุณไปไกลกว่าคำว่า “สนุก” แน่นอน

Scroll to Top