
ข้อมูลหนัง
ชื่อเรื่อง: Society of the Snow (La sociedad de la nieve) หิมะโหด คนทรหด
ปีที่ฉาย: 2023
ประเภท: ชีวประวัติ / ดราม่า / ผจญภัย / ระทึกขวัญ
ผู้กำกับ: J.A. Bayona (The Impossible, A Monster Calls)
ความยาว: 144 นาที
ฉายทาง: Netflix (4 ม.ค. 2024)
คะแนน IMDb: 7.8/10
คะแนน Rotten Tomatoes: 90% (Critics), 95% (Audience)
เรื่องย่อ
หนังเล่าจากเหตุการณ์จริงของเที่ยวบินกองทัพอากาศอุรุกวัย 571 ที่ตกในเทือกเขาแอนดีสเมื่อปี 1972 ขณะเดินทางไปแข่งขันรักบี้ในชิลี ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาหนุ่มและครอบครัว จากผู้โดยสาร 45 คน เหลือรอดในเบื้องต้นเพียง 33 คน และสุดท้าย… มีเพียง 16 คน ที่สามารถ “กลับบ้าน” ได้
พวกเขาติดอยู่กลางภูเขาหิมะนานถึง 72 วัน ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ, ร่างกายที่อ่อนแรง, ความหวังที่หายไป และ… การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต — การกินร่างไร้วิญญาณของเพื่อน เพื่อประทังชีวิต
ในโลกที่หิมะปกคลุมทุกอย่างจนไร้สีสัน มนุษย์จำนวนน้อยนิดกลายเป็นเงียบงันท่ามกลางภูเขา และสิ่งที่เหลืออยู่… ไม่ใช่เพียงชีวิต แต่คือ “การเป็นมนุษย์” ในแบบที่เปลือยเปล่าที่สุด
ตัวอย่างหนัง
รีวิวหนัง Society of the Snow (2023) เอาชีวิตรอดท่ามกลางหิมะบนเทือกเขาแอนดีส – สร้างจากเรื่องจริง
พวกเขาไม่ใช่ฮีโร่
พวกเขาไม่ใช่คนบาป
พวกเขาแค่… อยากกลับบ้าน
และเพราะความเงียบของหิมะไม่มีใครได้ยิน
พวกเขาจึงต้อง “อยู่รอด” เพื่อเล่าเรื่องแทนผู้ที่ไม่อาจพูดได้อีกต่อไป
1. นักแสดงและตัวละครที่ถ่ายทอดความจริงอย่างสมศักดิ์ศรี
หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของ Society of the Snow คือการเลือกใช้นักแสดงหน้าใหม่หรือหน้าไม่คุ้นในบทนำ ซึ่งทำให้ตัวละครทั้งหมดดู “เป็นคนธรรมดา” อย่างแท้จริง ไม่ใช่ดารา แต่คือมนุษย์ที่กำลังดิ้นรนมีชีวิตอยู่จริง ๆ ในสถานการณ์สุดขั้ว และนี่คือรายชื่อของนักแสดงหลัก พร้อมบทบาทที่พวกเขาได้ถ่ายทอด:
เอนโซ โวกรินซิก โรลแดน (Enzo Vogrincic Roldán) รับบท นูมา ตูร์คัตติ (Numa Turcatti) – ตัวละครหลักผู้เป็น “เสียง” เล่าเรื่องตลอดทั้งเรื่อง แม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้จากไป แต่เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดด้วยความเคารพและสง่างาม
มาตีอัส เรคัลต์ (Matías Recalt) รับบท โรแบร์โต คาเนสซา (Roberto Canessa) – หนึ่งในสองผู้ที่เดินออกจากภูเขาเพื่อตามหาความช่วยเหลือ ถือเป็นวีรบุรุษโดยไม่ต้องแต่งเติม
อากุสติน พาร์เดลลา (Agustín Pardella) รับบท เฟอร์นันโด “นันโด” พาร์ราโด (Fernando “Nando” Parrado) – อีกหนึ่งผู้รอดชีวิตที่ออกเดินทางร่วมกับโรแบร์โต เขาใช้แรงกายและแรงใจทั้งหมดเพื่อปกป้องคนอื่น
ดิเอโก เวเกซซี (Diego Vegezzi) รับบท มาร์เซโล เปเรซ เดล กาสตีโย (Marcelo Pérez del Castillo) – กัปตันทีมรักบี้ที่พยายามดูแลกลุ่มผู้รอดชีวิตอย่างสุดกำลัง
เอสเตบัน คูคูริซกา (Esteban Kukuriczka) รับบท อดอลโฟ “ฟิโต” สเตราซ์ (Adolfo “Fito” Strauch) – ตัวละครที่แสดงความหนักแน่นและยอมรับความจริงอย่างเงียบงัน
ฟรานซิสโก โรเมโร (Francisco Romero) รับบท ดาเนียล เฟร์นานเดซ สเตราซ์ (Daniel Fernández Strauch) – หนึ่งในผู้รอดที่มีบทบาทด้านการให้กำลังใจ
ราฟาเอล เฟเดอร์แมน (Rafael Federman) รับบท เอดูอาร์โด สเตราซ์ (Eduardo Strauch) – ตัวละครที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจอย่างลึกซึ้ง
นักแสดงเหล่านี้ไม่เพียงแค่แสดงบทบาทของบุคคลที่มีอยู่จริง แต่พวกเขายังได้พบกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ฝึกฝนกับผู้รอดชีวิตจริง และใช้เวลากับเรื่องราวเบื้องหลัง เพื่อให้การแสดงทุกอย่าง “ซื่อตรง” ต่อความทรงจำที่สุด
แม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมด แต่ทุกคน “สวมบทบาท” ไม่ใช่แค่ “แสดง” โดยเฉพาะ เอนโซ โวกรินซิก โรลแดน ในบทนูมา ถ่ายทอดความเปราะบาง ความหวัง และความยอมจำนนต่อชะตากรรมได้อย่างนุ่มลึก
ความดีงามคือ ผู้กำกับเลือกใช้คนรูปร่าง หน้าตา พูดภาษาเดียวกับผู้โดยสารจริง และให้พวกเขา พบปะกับครอบครัวของเหยื่อ เพื่อให้ทุกการแสดงมี “หัวใจ”
2. มุมมองที่แตกต่างจากหนังเอาชีวิตรอดเรื่องอื่น
สิ่งที่ Society of the Snow ทำได้ไม่เหมือนใครคือ มันไม่พูดถึง “ฮีโร่” แต่พูดถึง “ความเป็นมนุษย์” หนังไม่ดึงดราม่าราคาถูก ไม่ใส่เพลงเศร้าให้ร้องไห้ง่าย ๆ แต่เลือก “พูดน้อย” และ “มองลึก” ทุกฉากคือความเงียบงันที่กรีดใจ ทุกคำพูดคือประโยคที่ทิ้งค้างให้เรากลับไปถามตัวเอง

3. การเล่าเรื่องผ่าน “ผู้จากไป” ไม่ใช่ผู้รอด
“พวกเขาคือเงาของเรา เราอยู่ต่อในนามของพวกเขา”
– เสียงเล่าเรื่องจาก นูมา ตูร์คัตติ ผู้ล่วงลับ
แทนที่จะเล่าเรื่องผ่านสายตาของผู้รอดอย่างหนังทั่วไป หนังเรื่องนี้ให้ผู้เสียชีวิตเป็น “ผู้บันทึกความทรงจำ” แทน
เราเห็นความเจ็บปวดของคนที่กำลังจะตาย แต่ยังอยากให้คนอื่น “มีชีวิตอยู่” ต่อไปเพื่อเล่าเรื่องของเขา
4. หิมะในเรื่องนี้... สวยจนเจ็บ
หิมะสีขาวที่ควรเป็นสัญลักษณ์ของความสงบ กลายเป็น “โลงศพที่ไม่มีฝา” ในหนังเรื่องนี้ งานภาพของ J.A. Bayona ไม่ได้เพียงแค่สวย แต่ จับอารมณ์ได้ลึก — ความหนาว, ความหวัง, และความว่างเปล่าที่กดทับทุกชีวิต ฉากถ่ายกลางภูเขาจริง ใช้แสงธรรมชาติ และความ “นิ่ง” ของกล้อง ช่วยให้เราซึมซับความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
5. แก่นเรื่องที่ “ล้ำลึกกว่าการอยู่รอด”
มนุษย์สามารถทำอะไรได้บ้าง… เพื่อไม่ตาย?
ศีลธรรมยังมีความหมายอยู่ไหม… เมื่อเราใกล้ตายทุกวัน?
ความรอดของบางคน… คือความเจ็บปวดของคนที่เหลืออยู่?
หนังไม่ได้บอกให้เราตัดสินว่า “การกินศพเพื่อน” ผิดหรือไม่ แต่มันบอกให้เรานิ่ง… และเข้าใจ
6. ประโยคจากหนังที่ไม่มีวันลืม
“เราหลุดพ้นจากความเจ็บปวดแล้ว
แต่คุณ… ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่อบอกว่าเรามีชีวิตอยู่จริง”
บทสรุป
Society of the Snow ไม่ใช่แค่หนังเพื่อสะเทือนใจ แต่มันคือ “เครื่องบันทึกความรัก ความสูญเสีย และความเป็นมนุษย์” ที่จะตามหลอกหลอนคุณ… อย่างอ่อนโยนและยาวนาน
หากคุณเคยรู้สึกว่าหนังไม่เปลี่ยนชีวิตคุณ Society of the Snow อาจเป็นเรื่องที่ทำให้คุณกลับมานั่งคิดว่า…
“ชีวิตที่คุณมี… เป็นของคุณจริง ๆ หรือเป็นของใครที่เคยจากไป”