
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: 28 Days Later 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน
- ปีที่ฉาย: 2002
- หมวดหมู่: สยองขวัญ, ไซไฟ, ดราม่า, เอาชีวิตรอด
- ผู้กำกับ: Danny Boyle
- เขียนบท: Alex Garland
- ความยาว: 113 นาที
- วันเข้าฉาย: 1 พฤศจิกายน 2002 (สหราชอาณาจักร)
- คะแนน IMDb: 7.5/10
ตัวอย่าง 28 Days Later (2002)
เรื่องย่อ 28 Days Later (2002)
Jim ตื่นขึ้นในโรงพยาบาลร้างกลางกรุงลอนดอน 28 วันหลังจากเชื้อไวรัส “Rage” หลุดออกมาจากห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษา “ความรุนแรง” ของลิงทดลอง ไวรัสแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วด้วยการสัมผัสเลือดและน้ำลาย ทำให้ผู้ติดเชื้อคลุ้มคลั่ง กลายเป็นเครื่องจักรสังหารในเวลาไม่กี่วินาที
Jim ต้องเดินทางฝ่าความรกร้าง ร่วมมือกับผู้รอดชีวิตอย่าง Selena และ Frank เพื่อค้นหาความหวัง และสถานที่ปลอดภัย แต่ยิ่งเดินทางไปไกลเท่าไหร่ พวกเขากลับพบว่า มนุษย์ด้วยกันเอง อาจเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าผู้ติดเชื้อเสียอีก
นักแสดงหลัก
Cillian Murphy รับบท Jim
ชายหนุ่มธรรมดาที่ตื่นจากอาการโคม่าในโรงพยาบาล และพบว่าโลกภายนอกได้กลายเป็นดินแดนร้างที่ไร้ผู้คน เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อสุดคลั่ง Jim คือตัวแทนของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกโยนเข้าสู่โลกใหม่ที่ไร้ระเบียบ และต้องค้นหาความแข็งแกร่งในตัวเองเพื่อเอาตัวรอดNaomie Harris รับบท Selena
หญิงสาวผู้รอดชีวิตที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และพร้อมจะตัดสินใจอย่างเฉียบขาดเพื่อเอาชีวิตรอด แม้ต้องฆ่าคนที่รักก็ตาม เธอเป็นตัวแทนของความเป็นจริงแบบไม่มีเยื่อใยในโลกใหม่ที่ไร้กฎเกณฑ์Brendan Gleeson รับบท Frank
พ่อผู้มีความอบอุ่น มีความหวัง และเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดในเรื่อง เขาและลูกสาวสร้างมิติของ “ครอบครัว” ที่กำลังจะฟื้นฟูใจให้กับ Jim และ Selena อีกครั้งChristopher Eccleston รับบท Major Henry West
ทหารที่ดูเหมือนจะช่วยเหลือผู้รอดชีวิต แต่กลับเปิดเผยด้านมืดของมนุษย์ในสถานการณ์วิกฤติ ความบ้าคลั่งของเขาเป็นภาพสะท้อนของอำนาจที่บิดเบี้ยว

รีวิวหนัง 28 Days Later (2002) 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน
1. ไม่ใช่ “หนังซอมบี้” ธรรมดา แต่คือ "หนังมนุษย์"
แม้ 28 Days Later จะถูกมองว่าเป็นหนังซอมบี้ แต่มันแตกต่างจากสูตรสำเร็จทั่วไป Danny Boyle และ Alex Garland ใช้ซอมบี้เป็นแค่ฉากหน้า เพื่อถ่ายทอด สังคมที่พังทลาย และสำรวจ “จิตใจของมนุษย์” เมื่ออยู่ในสถานการณ์สุดขั้ว
ที่น่ากลัวไม่ใช่ซอมบี้ แต่คือ “คน” ที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับคนที่ยังพยายามรักษา “ศีลธรรม” ท่ามกลางความบ้าคลั่ง — และสิ่งนั้นแหละคือแกนหลักของหนัง
2. ธีมสังคม: ความรุนแรง ความโดดเดี่ยว และมนุษยธรรมที่เหลืออยู่
หนังสอดแทรกคำถามเชิงจริยธรรมและสังคมตลอดทั้งเรื่อง เช่น
ในโลกที่ไม่มีใครเหลืออยู่ เราจะรักษาความดีไว้ได้ไหม?
การฆ่าเพื่อเอาตัวรอดถือว่าผิดหรือไม่?
หรือมนุษย์แท้จริงแล้วก็มี “Rage” อยู่ในตัวอยู่แล้ว?
การแสดงให้เห็นถึง “ความรุนแรงแบบไม่มีไวรัส” จากฝีมือของมนุษย์เอง โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องกับกลุ่มทหาร เป็นจุดหักเหที่เปลี่ยนโทนหนังจาก “สยองแบบเอาตัวรอด” ไปสู่ “ดราม่าเชิงจิตวิทยา” อย่างแท้จริง
3. สไตล์ภาพและการกำกับ
Danny Boyle เลือกใช้กล้องดิจิทัลแบบ low-res (MiniDV) เพื่อให้ภาพดูดิบ เหมือนสารคดี และทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่พังลงจริง ๆ ภาพของลอนดอนที่ร้างไร้ผู้คน กลายเป็นหนึ่งในฉากเปิดตำนานของวงการหนังแนว post-apocalyptic
ดนตรีประกอบโดย John Murphy โดยเฉพาะเพลง “In the House – In a Heartbeat” กลายเป็นธีมอมตะของหนังแนวโลกพินาศ และยังถูกใช้ซ้ำในหนังหรือเกมอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง
ใครที่อาจชอบภาพยนตร์เรื่อง 28 Days Later
- แฟนหนังซอมบี้ที่อยากสัมผัส “ซอมบี้แนวจิตวิทยา”
- คนที่ชอบหนังเอาชีวิตรอดแบบสมจริง บีบหัวใจ และบีบอารมณ์
- ผู้ชมที่ชื่นชอบหนังที่ใช้เชื้อโรคและไวรัสเป็นเครื่องมือสะท้อนสังคม
- คนที่ชอบงานของ Danny Boyle หรือ Alex Garland (Ex Machina, Annihilation)
สรุปการรีวิว
28 Days Later (2002) ไม่ได้เพียงแค่ปฏิวัติหนังซอมบี้ แต่ยังปูทางให้กับยุคของ “ไวรัสซอมบี้เร็ว” ที่เปลี่ยนแนวหนังสยองขวัญไปตลอดกาล มันเป็นหนังที่ทั้งกดดัน หลอน ดราม่า และสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน
หากคุณกำลังมองหาหนังสยองขวัญที่มากกว่าการหนีตาย 28 Days Later คือคำตอบที่เต็มไปด้วยคำถามทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ “ความเป็นมนุษย์” ที่ยังหลงเหลืออยู่หลังโลกล่มสลาย