รีวิว Until Dawn (2025) จากเกมสู่ Live-Action กับเรื่องราวความสยองวนลูปไม่รู้จบ

รีวิว Until Dawn (2025) จากเกมสู่ Live-Action กับเรื่องราวความสยองวนลูปไม่รู้จบ

ข้อมูลหนัง

  • ชื่อหนัง: Until Dawn (ชื่อไทย: ต้องรอดก่อนย่ำรุ่ง)
  • ปีที่ฉาย: 2025
  • หมวดหมู่: สยองขวัญ / ระทึกขวัญ / ลึกลับ
  • ผู้กำกับ: David F. Sandberg
  • ผู้เขียนบท: Gary Dauberman และ Blair Butler
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 43 นาที
  • วันเข้าฉาย: 25 เมษายน 2025 (สหรัฐอเมริกา)
  • คะแนน IMDb: 5.8/10
  • คะแนน Rotten Tomatoes: 52% (นักวิจารณ์), 68% (ผู้ชม)

ตัวอย่าง

เรื่องย่อ

หนึ่งปีหลังจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของ Melanie Paul, Clover และกลุ่มเพื่อนของเธอเดินทางไปยังหุบเขา Glore เพื่อค้นหาคำตอบ เมื่อพวกเขาสำรวจศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ถูกทิ้งร้าง พวกเขาถูกฆาตกรสวมหน้ากากไล่ล่าและถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทีละคน แต่เมื่อตื่นขึ้น พวกเขาพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในจุดเริ่มต้นของค่ำคืนเดียวกันอีกครั้ง ติดอยู่ในวงจรเวลาที่น่าสะพรึง พวกเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ๆ ในแต่ละคืน และต้องหาทางเอาชีวิตรอดจนถึงรุ่งเช้าเพื่อหลุดพ้นจากวงจรนี้

นักแสดง

  • Ella Rubin รับบท Clover Paulน้องสาวที่ตามหาพี่สาวที่หายไป

  • Michael Cimino รับบท Maxแฟนเก่าของ Clover

  • Odessa A’zion รับบท Ninaเพื่อนสนิทของ Clover

  • Ji-young Yoo รับบท Meganพี่สาวต่างแม่ของ Max ที่มีพลังจิต

  • Belmont Cameli รับบท Abeแฟนหนุ่มของ Nina

  • Maia Mitchell รับบท Melanie Paulพี่สาวของ Clover ที่หายตัวไป

  • Peter Stormare รับบท Dr. Alan J. Hillนักจิตวิทยา (กลับมารับบทเดิมจากเกมต้นฉบับ)

รีวิว Until Dawn (2025) จากเกมสู่ Live-Action กับเรื่องราวความสยองวนลูปไม่รู้จบ
รีวิว Until Dawn (2025) จากเกมสู่ Live-Action กับเรื่องราวความสยองวนลูปไม่รู้จบ

รีวิว Until Dawn (2025) จากเกมสู่ Live-Action กับเรื่องราวความสยองวนลูปไม่รู้จบ

เกม Until Dawn ที่ออกในปี 2015 จากทีม Supermassive Games เป็นหนึ่งในเกมแนว interactive horror ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยระบบ “Butterfly Effect” ที่การตัดสินใจเพียงเล็กน้อยสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตัวละครได้ทั้งเรื่อง เกมต้นฉบับยังโดดเด่นด้วยตัวละครที่มีมิติ การเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญคลาสสิกผสม twist และการสำรวจความกลัวผ่านภูติ Wendigo และจิตวิทยา

สำหรับเวอร์ชันภาพยนตร์ 2025 แม้จะใช้ชื่อเดียวกันและพยายามเชื่อมโยงผ่านตัวละคร Dr. Hill ที่รับบทโดย Peter Stormare (กลับมาจากเกม) แต่โครงสร้างเรื่องแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง ตัวละครใหม่ สถานที่ใหม่ และแกนกลางเนื้อเรื่องที่เน้นวงจรเวลามากกว่า “การเลือก” ทำให้แฟนเกมจำนวนมากรู้สึกว่าภาพยนตร์นี้เป็นเหมือน “Reboot loosely based” มากกว่าจะเป็น “Adaptation” โดยแท้จริง

1. ลูปแห่งความกลัว

จุดแข็งของหนังอยู่ที่ไอเดีย “1 คืน = 1 แนวสยองขวัญ” ผู้กำกับ David F. Sandberg พยายามใช้แต่ละรอบของการรีเซ็ตเวลาเพื่อนำเสนอบรรยากาศและภัยคุกคามต่างประเภท เช่น คืนหนึ่งเป็น slasher mask killer อีกคืนหนึ่งเป็นบ้านผีสิง และอีกคืนหนึ่งเป็น Wendigo horror แบบในเกม

แนวคิดนี้สร้างความสดใหม่และดึงดูดสายตา แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นดาบสองคม เพราะหนังไม่มีเวลาพอจะลงลึกในอารมณ์หรือพัฒนาตัวละคร จังหวะบางช่วงจึงเหมือนแค่ “ฉากโชว์ความกลัว” ที่ไม่ได้สานต่อทางอารมณ์มากพอ

2. นักแสดงที่ต้องถ่ายทอดเรื่องราวบน Live-Action

แม้บทจะมีข้อจำกัด แต่นักแสดงบางคนสามารถยกระดับเนื้อหาให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ Ji-young Yoo ในบท Megan ที่เปล่งประกายด้วยพลังลึกลับและความอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน Ella Rubin ในบท Clover ก็ถ่ายทอดความสับสน การสูญเสีย และการเรียนรู้จากความผิดพลาดได้อย่างน่าชื่นชม

อย่างไรก็ตาม ตัวละครบางรายอย่าง Nina และ Abe ถูกเขียนมาแบบค่อนข้างบาง ทำให้ฉากดราม่าบางช่วงไม่ impactful เท่าที่ควร

3. ประเด็นที่แทรกอยู่ในภาพยนตร์

แม้โครงเรื่องจะนำด้วยความกลัว แต่ Until Dawn ก็มีธีมลึกซึ้งเกี่ยวกับ “ความผิดในอดีตที่ตามหลอกหลอน” และ “ความหวาดกลัวในการให้อภัยตัวเอง” จุดนี้แสดงให้เห็นโดย Clover ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาเหตุของการหายไปของพี่สาว

การต้องใช้ชีวิตซ้ำ ๆ อย่างไม่มีทางออก เป็นการเปรียบเปรยถึงภาวะ PTSD และภาวะจิตใจที่ไม่อาจก้าวข้ามอดีตได้ ซึ่งหากหนังสามารถขยายประเด็นนี้ให้ลึกและต่อเนื่อง อาจกลายเป็นหนัง psychological horror ที่มีความหมายได้มากกว่านี้

กระแสตอบรับภาพยนตร์ Until Dawn (2025)

คะแนนจากสื่อและนักวิจารณ์

  • Rotten Tomatoes (นักวิจารณ์): 52% (103 รีวิว)

  • Rotten Tomatoes (ผู้ชม): 68% (1,000+ รีวิว)

  • IMDb: 5.8/10

  • Metacritic: 47/100 (23 รีวิว) theguardian.com

ความเห็นจากนักวิจารณ์

  • Empire Magazine: “Until Dawn พยายามสร้างเส้นทางของตัวเองแยกจากต้นฉบับ แต่กลับรู้สึกซ้ำซากกว่าที่เคย”

  • Roger Ebert: “ภาพยนตร์เต็มไปด้วยศักยภาพ แต่การดำเนินเรื่องที่ไม่สม่ำเสมอทำให้รู้สึกน่าผิดหวัง”

  • The Guardian: “แม้จะมีนักแสดงนำที่มีเสน่ห์และการกำกับที่มีประสิทธิภาพ แต่ภาพยนตร์ขาดความลึกซึ้งและความแปลกใหม่”

  • Polygon: “ภาพยนตร์พยายามผสมผสานหลายแนวสยองขวัญ แต่กลับรู้สึกว่าไม่มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน”

ความเห็นจากแฟนเกมและผู้ชมทั่วไป

ในชุมชน Reddit และแพลตฟอร์มอื่น ๆ แฟนเกม Until Dawn มีความเห็นที่แตกต่างกันไป

  • บางคนชื่นชมแนวคิดการวนลูปเวลาและการนำเสนอที่แตกต่างจากเกมต้นฉบับ

  • บางคนรู้สึกผิดหวังที่ภาพยนตร์ไม่ยึดตามเนื้อเรื่องของเกมและขาดการพัฒนาตัวละครที่ลึกซึ้ง

รายได้และความสำเร็จทางการเงิน

แม้จะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่ Until Dawn ประสบความสำเร็จทางการเงิน โดยมีรายได้รวมทั่วโลกประมาณ 51.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณการผลิต 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

บทสรุป

Until Dawn เวอร์ชัน 2025 เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและมีไอเดียสร้างสรรค์ในด้าน “โครงสร้าง” แต่ยังขาด “เนื้อหา” ที่ลุ่มลึกพอจะสร้างแรงกระเพื่อมทางอารมณ์ให้ผู้ชมจดจำได้เหมือนเกมต้นฉบับ

ถ้าคุณคือแฟนเกม อาจรู้สึกขัดใจจากความห่างของเรื่องราว แต่หากคุณเป็นแฟนหนังสยองขวัญแนววงจรเวลาและเน้นบรรยากาศ หนังเรื่องนี้ก็ยังมีความบันเทิงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเชิงการทดลองกับ subgenre สยองขวัญที่หลากหลายในหนึ่งเรื่องเดียว

คะแนนโดยรวม: ★★★☆☆ (3/5)
แนะนำสำหรับ: คนชอบหนังลูปเวลา-สยองขวัญ, แฟนเดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก
ไม่แนะนำสำหรับ: คนที่หวังจะได้อารมณ์แบบเกม Until Dawn ต้นฉบับเต็ม ๆ

ลลิน อัครเศรษฐ์

ลลิน อัครเศรษฐ์

ผู้เขียน

Scroll to Top