
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: Warfare
- ปีที่ฉาย: 2025
- หมวดหมู่: แอ็กชัน / สงคราม / ดราม่าการเมือง
- ผู้กำกับ: วิลเลียม ยูแบงค์ (William Eubank)
- ความยาว: 118 นาที
- วันเข้าฉาย: 27 มิถุนายน 2025
- คะแนน IMDb: 7.9/10
นักแสดงและบทบาท
รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) รับบท ผู้บัญชาการเซอร์เจนท์ แจ็ค รอร์ก — ผู้นำหน่วยปฏิบัติการพิเศษผู้เคร่งขรึม
เลียม เฮมส์เวิร์ธ (Liam Hemsworth) รับบท เรย์ คาร์เตอร์ — ทหารหนุ่มไฟแรงผู้มีอดีตเจ็บลึก
มิโล กิ๊บสัน (Milo Gibson) รับบท แดเนียล โคห์น — ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อดิจิทัลที่ถูกดึงตัวเข้าสงครามแบบไม่เต็มใจ
แอลิสัน ลูแมน (Alison Lohman) รับบท ดร.เอเลน่า ริเวรา — นักวิเคราะห์นโยบายความมั่นคงที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
ตัวอย่างหนัง
เรื่องย่อ
Warfare พาเราย้อนเข้าสู่เขตความขัดแย้งที่ไม่มีระบุประเทศชัดเจน แต่แฝงนัยของโลกยุคใหม่ที่ขั้วอำนาจกำลังสั่นคลอน หน่วยปฏิบัติการพิเศษนำโดย รัสเซล โครว์ ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ปิดตายเพื่อปฏิบัติการลับที่ “อาจยุติสงครามได้” ทว่าเมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้น สิ่งที่พบไม่ใช่เพียงฐานทัพศัตรู หรืออาวุธชีวภาพ แต่เป็นข้อมูลที่อาจเปิดโปง “อำนาจมืด” ของโลกตะวันตกเสียเอง
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งต้องการปกป้องความลับเพื่อรักษาความมั่นคง อีกฝ่ายกลับอยากเปิดเผยมันเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามและอาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปตลอดกาล
รีวิวหนัง Warfare (2025) เมื่อเสียงปืนเงียบลง คำถามสำคัญคือ…เรารบเพื่ออะไร?

1. บทหนัง
บทหนังเขียนโดย คริสโตเฟอร์ ฟูลเลอร์ (Christopher Fuller) อดีตนักข่าวสงครามที่นำประสบการณ์จริงมาร้อยเรียงเป็นบทภาพยนตร์ที่เข้มข้นและสมจริง ตัวบทเด่นตรงที่ไม่ได้แบ่ง “คนดี” กับ “คนร้าย” อย่างชัดเจน แต่นำเสนอการตัดสินใจในภาวะที่ถูกบีบด้วยเวลา ความกลัว และผลประโยชน์ ตัวละครทุกตัวล้วนมีมิติ ทั้งภาวะผู้นำของแจ็ค รอร์ก ความสงสัยในคำสั่งของคาร์เตอร์ และความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของดร.เอเลน่า ผู้มองสงครามผ่านเลนส์ทางการเมือง
2. การแสดง

รัสเซล โครว์ กลับมาในบทผู้นำหน่วยปฏิบัติการด้วยพลังการแสดงที่ทรงอิทธิพล เขาไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่การแสดงออกด้วยสายตาและท่าทางก็ถ่ายทอดความขัดแย้งในใจของผู้นำที่ไม่อาจเปิดเผยภารกิจได้แม้กับลูกน้องตัวเอง
เลียม เฮมส์เวิร์ธ ถ่ายทอดบททหารหนุ่มที่ค่อยๆ ถูกกลืนเข้าสู่การเมืองสงครามได้อย่างน่าจับตา ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเขา
แอลิสัน ลูแมน กลับมาสู่จอใหญ่ด้วยบทนักวิชาการหญิงที่ต้องเลือกว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหนของ “ความจริง” หรือ “ความมั่นคง”
3. งานสร้าง
ภาพยนตร์ถ่ายทำในพื้นที่ทะเลทรายของจอร์แดนและโมร็อกโก เพื่อให้ได้บรรยากาศของ “เขตสงครามจำลอง” ที่สมจริง การออกแบบฉากนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ช่วยเสริมให้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยว ความไร้ทิศทาง และแรงกดดันชัดเจนยิ่งขึ้น
ดนตรีประกอบโดย เบนจามิน วอลล์ฟิช (Benjamin Wallfisch) สร้างแรงกดดันตลอดทั้งเรื่องได้ดี ด้วยซาวด์ที่กระทบจิตใจแต่ไม่ล้นจนกลบเนื้อเรื่อง
ประเด็นทางสังคมที่น่าสนใจ
“ใครคือศัตรูที่แท้จริง” — หนังตั้งคำถามถึงอำนาจเบื้องหลังสงคราม และผู้ที่กำหนดเป้าหมายที่แท้จริง
“ข้อมูล” กับ “ความจริง” — ในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงอาจไม่ได้มีหนึ่งเดียว
“ศีลธรรมของผู้กดปุ่ม” — สะท้อนถึงสังคมที่ผู้อยู่ในห้องแอร์มีสิทธิ์ตัดสินความเป็นความตายของคนในสนามรบ
การเมืองระหว่างประเทศ — หนังพาดพิงถึงบทบาทของมหาอำนาจ และสงครามที่เกิดจากผลประโยชน์ระหว่างชาติ มากกว่าอุดมการณ์
สรุปทิ้งท้าย
Warfare (2025) ไม่ใช่หนังสงครามที่เน้นฉากบู๊ระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่เป็นหนังที่กระแทกจิตใจด้วยคำถามว่า “เราต่อสู้เพื่อใคร?” และ “ความจริงมีค่าแค่ไหนเมื่อมันขัดกับนโยบาย?”
นี่คือผลงานที่คอหนังสงครามแบบมีสาระไม่ควรพลาด ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง การแสดง และการตั้งคำถามกับโลกที่เราอยู่