รีวิวหนัง The Lord of the Rings The War of the Rohirrim (2024) สงครามที่หล่อหลอมตำนานแห่งเฮล์มส์ดีป

รีวิวหนัง The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim (2024) – สงครามที่หล่อหลอมตำนานแห่งเฮล์มส์ดีป

ข้อมูลภาพยนตร์

  • ชื่อเรื่อง: The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ศึกแห่งโรฮิริม

  • ปีที่ฉาย: 2024

  • ประเทศที่ผลิต: สหรัฐอเมริกา, นิวซีแลนด์

  • ภาษาหลัก: อังกฤษ

  • ประเภท: แอนิเมชัน, แฟนตาซี, ผจญภัย, สงคราม

  • ผู้กำกับ: เคนจิ คามิยามะ (Kenji Kamiyama)

  • ผู้เขียนบท: ฟิลิปปา โบเยนส์, เจฟฟ์ อัดดิส, วิล แมทธิวส์

  • นักแสดงหลัก (ให้เสียงพากย์):

    • ไบรอัน ค็อกซ์ (Brian Cox) ให้เสียง เฮล์ม แฮมเมอร์แฮนด์
    • ไกอา ไวส์ (Gaia Wise) ให้เสียง เฮร่า
    • ลุค ปาสควาลิโน (Luke Pasqualino) ให้เสียง วูล์ฟ
    • มิแรนดา ออตโต (Miranda Otto) ให้เสียง เอโอวิน (ผู้บรรยาย)
  • ช่องทางการฉาย: โรงภาพยนตร์ทั่วโลก

  • คะแนน IMDb: 6.4/10

เรื่องย่อ

ย้อนกลับไป 183 ปีก่อนเหตุการณ์ใน The Lord of the Rings The War of the Rohirrim เล่าเรื่องราวของ เฮล์ม แฮมเมอร์แฮนด์ (Helm Hammerhand) กษัตริย์แห่งโรฮันผู้เกรียงไกร ผู้ต้องเผชิญกับศึกครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจทำให้บ้านเกิดของเขาพินาศ

โรฮันในยุคนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และศัตรูที่อันตรายที่สุดคือ วูล์ฟ (Wulf) หัวหน้าผู้รุกรานจากดันลันดิ้ง (Dunlendings) ที่ต้องการแก้แค้นและทวงคืนดินแดนของบรรพบุรุษ เมื่อกษัตริย์เฮล์มตัดสินใจไม่ก้มหัวให้กับศัตรู สงครามจึงปะทุขึ้นและนำไปสู่การปิดล้อมครั้งสำคัญที่ป้อมเฮล์มส์ดีป

เฮร่า (Hera) ลูกสาวของกษัตริย์เฮล์ม ต้องลุกขึ้นสู้และเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาชาวโรฮันให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย ศึกครั้งนี้จะเป็นบททดสอบของความกล้าหาญ ศรัทธา และความเสียสละของชาวโรฮัน

ตัวอย่างหนัง The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim (2024)

รีวิวหนัง The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim (2024) – สงครามที่หล่อหลอมตำนานแห่งเฮล์มส์ดีป

รีวิวหนัง The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim (2024)

The War of the Rohirrim เป็นเรื่องราวที่ขยายจากหนังสือของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน โดยมุ่งเน้นไปที่ประวัติศาสตร์ของโรฮันและ การสร้างป้อมเฮล์มส์ดีป ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภาค LOTR ภาพยนตร์เล่าเรื่องในสไตล์แอนิเมชันญี่ปุ่นที่มีความสมจริงและดราม่าที่หนักแน่น

การเปิดเรื่องให้ผู้ชมได้สัมผัส ประวัติศาสตร์และความขัดแย้งของชาวโรฮันและดันลันดิ้ง ทำให้หนังมีมิติและความน่าสนใจ โดยไม่ใช่เพียงแค่หนังสงคราม แต่เป็นเรื่องของ เกียรติยศ ความสูญเสีย และความอยู่รอดของชาติ

SPOILER ALERT | เนื้อหาต่อไปนี้มีสปอย 

ฉากรบที่ดุเดือดและสมจริงที่สุดของจักรวาล LOTR

สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้พิเศษคือ ฉากรบที่ดุเดือด ด้วยสไตล์แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลจากอนิเมะญี่ปุ่น ผสมผสานกับองค์ประกอบของหนังฮอลลีวูด ผลลัพธ์ที่ได้คือฉากแอ็กชันที่มีความดิบ เถื่อน และทรงพลัง

ศึกปิดล้อมป้อมเฮล์มส์ดีป เต็มไปด้วยกลยุทธ์ทางการรบ การปะทะกันของกองทัพ และฉากดราม่าที่สะเทือนอารมณ์ เห็นได้ชัดว่า ผู้กำกับเคนจิ คามิยามะ ใช้ความเชี่ยวชาญของเขาในการสร้างฉากสงครามที่มีความสมจริงและดุเดือด

เฮล์ม แฮมเมอร์แฮนด์ – กษัตริย์นักรบแห่งโรฮัน

ตัวละคร เฮล์ม แฮมเมอร์แฮนด์ เป็นศูนย์กลางของเรื่องและเป็นตัวละครที่มีความลึกซึ้งอย่างมาก เขาไม่ใช่แค่กษัตริย์ที่แข็งแกร่ง แต่เป็นบุรุษที่ต้องแบกรับชะตากรรมของชาติ และต้องต่อสู้กับศัตรูทั้งจากภายนอกและภายใน

เสียงพากย์ของไบรอัน ค็อกซ์ (Brian Cox) ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ความเข้มแข็งของผู้นำ ไปจนถึงความเจ็บปวดที่ต้องเห็นบ้านเมืองของตนถูกทำลาย

เฮร่า – ตัวละครหญิงที่แข็งแกร่ง และมิติใหม่ของโรฮัน

The War of the Rohirrim ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของนักรบชาย แต่ยังเน้นไปที่ เฮร่า (Hera) ลูกสาวของเฮล์ม ที่ต้องลุกขึ้นมาปกป้องประชาชนของเธอ แม้ว่าชายชาวโรฮันจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่ เฮร่าเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งความหวังและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของทุกคน

สรุป The War of the Rohirrim สงครามที่หล่อหลอมตำนานแห่งเฮล์มส์ดีป

The War of the Rohirrim เป็นภาพยนตร์ที่ขยายจักรวาล The Lord of the Rings ในมุมที่ไม่เคยถูกเล่าขานมาก่อน ด้วยการเล่าเรื่องที่เข้มข้นและการสร้างตัวละครที่มีมิติ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความลึกซึ้งและแตกต่างจากไตรภาคหลัก ฉากสงครามถูกถ่ายทอดอย่างยิ่งใหญ่และสมจริง ผสมผสานสไตล์แอนิเมะญี่ปุ่นและการเล่าเรื่องแบบฮอลลีวูดได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ แอนิเมชันที่สวยงามและการออกแบบตัวละครที่ทรงพลังช่วยเสริมให้เรื่องราวมีพลังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมบางกลุ่ม อาจรู้สึกว่าบางฉากดำเนินเรื่องช้าเกินไป และการเปลี่ยนแปลงสไตล์ภาพจากไตรภาคเดิมอาจทำให้แฟนดั้งเดิมต้องใช้เวลาในการปรับตัว

แต่โดยรวมแล้ว นี่คือภาพยนตร์ที่แฟน LOTR และผู้ชมหน้าใหม่ไม่ควรพลาด เพราะมันไม่เพียงขยายเรื่องราวของมิดเดิลเอิร์ธ แต่ยังเติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์ของ The Lord of the Rings ได้อย่างน่าประทับใจ

Scroll to Top