
ข้อมูลหนัง
- ชื่อภาพยนตร์: The King
- ปีที่ฉาย: 2019
- หมวดหมู่: ดราม่า, ประวัติศาสตร์, สงคราม
- ผู้กำกับ: David Michôd
- ความยาว: 140 นาที
- วันเข้าฉาย: 1 พฤศจิกายน 2019 (Netflix)
- คะแนน IMDb: 7.3/10
นักแสดงหลัก
- Timothée Chalamet รับบท King Henry V (Hal)
- Joel Edgerton รับบท Sir John Falstaff
- Robert Pattinson รับบท Dauphin of France
- Sean Harris รับบท William Gascoigne
- Ben Mendelsohn รับบท King Henry IV
- Lily-Rose Depp รับบท Catherine of Valois

เรื่องย่อ The King ภาพยนตร์ที่ตีความ Henry V ในมุมของมนุษย์ธรรมดา
The King เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของ Henry V หรือ Hal เจ้าชายผู้ใช้ชีวิตเหลวไหลแต่กลับต้องขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษหลังการสิ้นพระชนม์ของพระราชบิดา Henry IV
แม้ว่า Hal จะไม่ต้องการอำนาจและสงคราม แต่เขากลับถูกบีบบังคับให้เผชิญหน้ากับความขัดแย้งทั้งภายในราชสำนักและศึกกับฝรั่งเศส นำไปสู่สงครามครั้งสำคัญที่ Battle of Agincourt ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอังกฤษในยุคนั้น
ตัวอย่าง The KING 2019
รีวิว The King เชิงวิเคราะห์
การตีความ Henry V ในแบบ The King: วีรบุรุษหรือเหยื่อของการเมือง?
หนึ่งในจุดเด่นของ The King คือการเลือกที่จะนำเสนอ Henry V ในแบบที่ “เป็นมนุษย์” มากกว่าภาพลักษณ์ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แบบที่เคยถูกนำเสนอในงานของ Shakespeare หรือในประวัติศาสตร์
- จากเจ้าชายเสเพลสู่กษัตริย์:
ในช่วงแรกของเรื่อง Hal เป็นเจ้าชายที่ละทิ้งหน้าที่และปฏิเสธราชบัลลังก์ เขามองว่าอำนาจเต็มไปด้วยการโกหกและความโหดร้าย เมื่อถูกบังคับให้ขึ้นครองราชย์ เขาจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่เกลียดสงคราม ไปสู่ผู้นำที่ต้องตัดสินใจบนสนามรบ - Henry V เป็นเหยื่อของการเมืองหรือไม่?ภาพยนตร์ตั้งคำถามว่า การตัดสินใจของ Henry V ในการเข้าสู่สงครามกับฝรั่งเศสนั้น เป็นเพราะความจำเป็นหรือเพราะเขาถูกชักจูงโดยที่ปรึกษาทางการเมืองของเขา? หนังนำเสนอประเด็นว่ากษัตริย์อาจไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเสมอไป หากแต่ถูกผลักดันจากผู้ที่อยู่รอบตัว
งานสร้างและบรรยากาศ: สงครามยุคกลางที่สมจริงและดิบเถื่อน
- โทนภาพและการกำกับศิลป์ David Michôd ใช้โทนภาพที่เย็นและหม่นหมอง เพื่อสะท้อนความเคร่งขรึมและโหดร้ายของยุคกลาง ฉากภายในราชสำนักให้ความรู้สึกอึดอัดและกดดัน ขณะที่ฉากสงครามให้ความรู้สึกสมจริงและโหดร้าย
- ฉาก Battle of Agincourt ฉากรบที่ยิ่งใหญ่ในหนังใช้เทคนิคการถ่ายทำที่เน้นความสมจริง ไม่มีการโรแมนติกหรือทำให้สงครามดูเป็นวีรกรรม ฉากต่อสู้ใช้มุมกล้องติดตามที่ใกล้ชิดกับตัวละคร ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบจริงๆ
- ดนตรีประกอบ ดนตรีของ Nicholas Britell ทำให้หนังมีบรรยากาศที่ทรงพลัง เสียงดนตรีช่วยเร่งอารมณ์ความตึงเครียดของฉากสำคัญโดยไม่ทำให้รู้สึกเกินจริง

การแสดง: Timothée Chalamet แบกหนังทั้งเรื่องไว้บนบ่า
Timothée Chalamet ถ่ายทอดบทบาทของ Henry V ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากเจ้าชายขี้เมาไปสู่กษัตริย์ที่ต้องรับภาระหนักอึ้ง เขาไม่ได้นำเสนอกษัตริย์ที่มีพลังมหาศาล แต่เป็นผู้นำที่ยังมีความลังเลและต้องต่อสู้กับภาระที่แบกรับอยู่
Robert Pattinson ในบท Dauphin ของฝรั่งเศส ขโมยซีนด้วยการแสดงที่มีเอกลักษณ์และโอเวอร์แบบจงใจ คาแรคเตอร์ของเขาเป็นตัวแทนของศัตรูที่ดูถูกอังกฤษ และช่วยสร้างแรงขับให้ Henry V ต้องพิสูจน์ตัวเอง
Joel Edgerton ในบท Sir John Falstaff ให้การแสดงที่อบอุ่นและเป็นเหมือนพ่ออีกคนของ Hal ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นหนึ่งในจุดที่ทำให้ Henry V ต้องเผชิญกับภาวะความโดดเดี่ยวของผู้มีอำนาจ
การเปรียบเทียบกับเวอร์ชันอื่นของ Henry V
- Shakespeare’s Henry V (1944) ของ Laurence Olivier เป็นเวอร์ชันที่ยกย่อง Henry V ให้เป็นวีรบุรุษ
- Henry V (1989) ของ Kenneth Branagh เน้นไปที่ความขัดแย้งในตัวกษัตริย์
- The King (2019) นำเสนอ Henry V ในแบบที่เป็นมนุษย์มากที่สุด และตั้งคำถามต่อบทบาทของกษัตริย์ในเชิงการเมือง
ประเด็นที่น่าสนใจใน The King
- อำนาจกับศีลธรรม: หนังตั้งคำถามว่า กษัตริย์ที่ดีคือผู้นำที่ปฏิเสธสงคราม หรือคือคนที่กล้าทำทุกอย่างเพื่อรักษาบัลลังก์?
- การเมืองในราชสำนัก: Henry V ต้องต่อสู้กับคำโกหกและการทรยศภายในมากกว่าศัตรูที่อยู่ภายนอก
- สงครามไม่ได้มีแต่ชัยชนะ: Battle of Agincourt ในหนังถูกนำเสนอให้เห็นความโหดร้ายของสงคราม มากกว่าความรุ่งโรจน์
จุดเด่นและจุดที่ยังมีข้อบกพร่องของ The King
จุดเด่น:
✔️ งานสร้างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดบรรยากาศยุคกลางได้สมจริง
✔️ การแสดงของ Timothée Chalamet น่าประทับใจ
✔️ ฉากสงครามดิบเถื่อนและทรงพลัง
✔️ ตีความ Henry V ในมุมมองที่แตกต่าง
ข้อบกพร่อง:
❗ เนื้อเรื่องช่วงแรกดำเนินไปอย่างช้า อาจไม่ถูกใจคนที่คาดหวังฉากสงครามตลอดทั้งเรื่อง
❗ บางตัวละครถูกลดความสำคัญไป โดยเฉพาะ Catherine of Valois ที่มีบทบาทน้อยมาก
สรุปการรีวิว The King 2019
The King เป็นภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่เน้นเรื่องการเติบโตของผู้นำมากกว่าความยิ่งใหญ่ของสงคราม แม้จะไม่ได้มีฉากแอ็กชันมากมาย แต่หนังนำเสนอประเด็นการเมืองและอำนาจได้อย่างแหลมคม และการแสดงของ Chalamet ก็ช่วยทำให้ Henry V เป็นตัวละครที่มีมิติ
แนะนำสำหรับ: คนที่ชอบหนังประวัติศาสตร์และการเมือง
ไม่แนะนำสำหรับ: คนที่ต้องการหนังสงครามที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน