
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: The Flash เดอะ แฟลช
ปีที่ฉาย: 2023
หมวดหมู่: แอ็กชัน / ผจญภัย / ไซไฟ / ซูเปอร์ฮีโร่
ผู้กำกับ: แอนเดรส มัสเชียตติ (Andrés Muschietti)
ความยาว: 144 นาที
วันเข้าฉาย: 16 มิถุนายน 2023
คะแนน IMDb: 6.6 / 10
นักแสดงและบทบาท
เอซร่า มิลเลอร์ (Ezra Miller) รับบท แบร์รี่ อัลเลน / The Flash (และแบร์รี่ อัลเลนอีกเวอร์ชันในไทม์ไลน์อื่น)
ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) รับบท บรูซ เวย์น / Batman (เวอร์ชันปี 1989)
เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) รับบท บรูซ เวย์น / Batman (เวอร์ชัน DCEU)
ซาช่า แคลล์ (Sasha Calle) รับบท คาร่า ซอร์-เอล / Supergirl
ไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon) รับบท นายพลซอด
รอน ลิฟวิงสตัน (Ron Livingston) รับบท เฮนรี่ อัลเลน
มาริเบล เวอร์ดู (Maribel Verdú) รับบท นอร่า อัลเลน
ตัวอย่างหนัง
เรื่องย่อ
The Flash เล่าเรื่องของ แบร์รี่ อัลเลน ฮีโร่ความเร็วแสงที่พยายามย้อนเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตและช่วยชีวิตแม่ของเขา แต่การกระทำนี้กลับส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเส้นเวลาจักรวาล ทำให้เขาต้องเผชิญกับโลกที่ไม่มีฮีโร่ Superman และที่สำคัญ Batman ก็เปลี่ยนไป! เมื่อภัยร้ายจาก นายพลซอด หวนกลับมา เขาต้องร่วมมือกับ Batman เวอร์ชันใหม่ และ Supergirl เพื่อกอบกู้จักรวาลและหาทางกลับสู่โลกของตัวเองให้ได้
รีวิวหนัง The Flash (2023) ต่อให้ย้อนเวลาเปลี่ยนอดีต อนาคตย่อมไม่มีวันเหมือนเดิม
1. บทหนัง
บทของ The Flash เขียนโดย คริสติน่า ฮัดสัน (Christina Hodson) ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Birds of Prey และ Bumblebee บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคอมิกเรื่องดัง Flashpoint ซึ่งเนื้อหาต้นฉบับเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล DC จากการย้อนเวลา บทหนังนำเสนอธีมหลักเรื่อง “การสูญเสีย” และ “การยอมรับในอดีต” โดยใส่อารมณ์ขันและฉากแอ็กชันเข้าไปอย่างลงตัว การที่แบร์รี่ได้เจอตัวเองในอีกเวอร์ชัน และพบเจอ Batman ที่แตกต่าง เป็นการเปิดมุมมองใหม่ของการเล่าเรื่องจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่

2. การแสดง
เอซร่า มิลเลอร์ ถือเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ด้วยการแสดงบท แบร์รี่ อัลเลน สองเวอร์ชันที่มีบุคลิกต่างกันชัดเจน เขาสามารถถ่ายทอดทั้งความตลก ความเจ็บปวด และความหวังออกมาได้ดี แม้จะมีดราม่าชีวิตจริงเกี่ยวกับตัวเขา แต่ในภาพยนตร์นี้เขาแสดงได้อย่างมีพลัง
ไมเคิล คีตัน ในบท Batman กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และได้รับเสียงชื่นชมจากแฟน ๆ เขาแสดงความเก๋าและมืดหม่นในแบบฉบับของ Batman ยุคคลาสสิกอย่างเต็มที่ ขณะที่ เบน แอฟเฟล็ก ก็มาปรากฏตัวในบท Batman เวอร์ชัน DCEU แบบสั้น ๆ แต่เติมเต็มโทนของจักรวาลได้ดี
ซาช่า แคลล์ ในบท Supergirl เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่โดดเด่น เธอให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่เปราะบางในเวลาเดียวกัน เสริมความสดใหม่ให้กับจักรวาล DC
3. งานสร้าง
แม้ว่าหนังจะได้รับคำวิจารณ์ผสมผสานในด้าน CG และเทคนิคพิเศษ โดยเฉพาะฉากใน Speed Force ที่บางคนรู้สึกว่าไม่สมจริง แต่ทีมผู้สร้างอธิบายว่าจงใจออกแบบให้ฉากเหล่านั้นมีลักษณะเหนือจริงเพื่อแสดงถึงการรับรู้ของ Flash ต่อโลกเมื่อวิ่งด้วยความเร็วแสง อย่างไรก็ตาม ฉากแอ็กชันหลัก ๆ เช่น การต่อสู้กับซอด และฉากการวิ่งย้อนเวลาถูกออกแบบมาอย่างอลังการและเร้าใจ
กระแสตอบรับ
The Flash เปิดตัวด้วยกระแสความคาดหวังสูง โดยเฉพาะจากแฟน DC ที่รอการรีเซ็ตจักรวาลใหม่ หลังจากการบริหารของ James Gunn และ Peter Safran อย่างไรก็ตาม รายได้เปิดตัวไม่เป็นไปตามคาด แม้จะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในด้านการเล่าเรื่องและการแสดงของไมเคิล คีตัน แต่บางเสียงวิจารณ์ว่าหนังมีปัญหาในเรื่องของโทนและ CG ที่ยังไม่สมบูรณ์
คะแนนวิจารณ์บน Rotten Tomatoes อยู่ที่ประมาณ 64% (Fresh) และมีแฟน ๆ หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในหนัง DC ที่มีอารมณ์สะเทือนใจและสนุกในแบบของตัวเอง
บทวิเคราะห์เพิ่มเติม
The Flash เป็นหนังที่พูดถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอดีต และการเรียนรู้ที่จะ “ปล่อยวาง” เพื่อเดินหน้าต่อไป หนังมีความกล้าหาญในการดึงเอา Multiverse เข้ามาเล่นในจักรวาล DC อย่างจริงจัง และเป็นการปูทางสำหรับการรีบูตจักรวาลใหม่ภายใต้ DC Studios การโคจรของฮีโร่หลายเวอร์ชันทำให้หนังมีสีสันและความสนุก แต่ก็มีคำถามต่อความสมดุลของเนื้อเรื่อง และการใช้ Multiverse อย่างไรให้มีความหมาย
1. ความแตกต่างที่ทำให้ The Flash (2023) ไม่เหมือนใคร
- การเล่นกับ Multiverse แบบเต็มตัวในจักรวาล DC แม้จักรวาล Marvel จะเปิดตัว Multiverse ไปก่อนหน้านี้ แต่ The Flash เป็นก้าวแรกของ DC ในการดึงตัวละครจากไทม์ไลน์และจักรวาลอื่นมารวมกันอย่างจริงจัง จุดเด่นคือการนำ Batman เวอร์ชัน ไมเคิล คีตัน จากหนังปี 1989 กลับมาสร้างสีสัน ซึ่งแตกต่างจาก Marvel ที่ใช้ตัวละครใหม่เกือบทั้งหมดใน Multiverse
- ธีมของ “การยอมรับความสูญเสีย” แทนการกอบกู้โลก หนังฮีโร่ส่วนใหญ่มักเน้นการต่อสู้เพื่อช่วยโลก แต่ The Flash ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ส่วนตัวของแบร์รี่ ที่ต้องการช่วยแม่ของเขาและเปลี่ยนแปลงอดีต หนังไม่ได้พาไปสู่ตอนจบแบบโลกสวย แต่กลับพูดถึงการ “ปล่อยมือ” และ “ยอมรับความจริง” ซึ่งให้มิติทางจิตวิทยาที่ลึกกว่า
- แฟนเซอร์วิสในแบบที่เฉพาะเจาะจง แทนที่จะเป็นแค่ Easter Egg หรือฉากเรียกเสียงกรี๊ด The Flash กลับใส่แฟนเซอร์วิสที่มีน้ำหนักต่อเนื้อเรื่อง เช่น การกลับมาของ Batman เวอร์ชันต่าง ๆ หรือการปรากฏตัวแบบเซอร์ไพรส์ของฮีโร่จากจักรวาลอื่น ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงความทรงจำของแฟน DC แบบเจาะกลุ่มจริง ๆ
- ฮีโร่ที่มีความเปราะบางและเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด แบร์รี่ อัลเลน ในเรื่องนี้ไม่ใช่ฮีโร่แบบเพอร์เฟกต์ เขาเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ความลังเล และบางครั้งก็ดูเหมือนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ความไม่แน่นอนนี้ทำให้เขาแตกต่างจากฮีโร่สายแข็งอย่าง Superman หรือ Batman ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

2. การเปลี่ยนผ่านของจักรวาล DC
The Flash ไม่ใช่แค่หนังเดี่ยวของแบร์รี่ อัลเลน แต่ยังเป็น หมุดหมายสำคัญของ DC Studios ในการเปลี่ยนแปลงทิศทางของจักรวาล หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ James Gunn และ Peter Safran ได้เริ่มต้น DC Universe (DCU) ใหม่ ที่จะแตกต่างจาก DCEU แบบเดิม การจบของ The Flash จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เป็นทั้ง “บทอำลา” และ “จุดเริ่มต้น” ของโลก DC ยุคใหม่
สรุปทิ้งท้าย
The Flash (2023) เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่พยายามผสมผสานระหว่างดราม่า, แอ็กชัน และแฟนเซอร์วิสเข้าด้วยกัน แม้จะมีข้อบกพร่องในบางด้าน แต่การกลับมาของ ไมเคิล คีตัน, ความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง และการสำรวจด้านอารมณ์ของ แบร์รี่ อัลเลน ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับแฟนหนังฮีโร่ โดยเฉพาะผู้ที่ผูกพันกับจักรวาล DC มายาวนาน