รีวิวหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) เมื่อภารกิจสายลับสุดมันส์ ปะทะเกมจิตวิทยาที่เชื่อใจใครไม่ได้

รีวิวหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) เมื่อภารกิจสายลับสุดมันส์ ปะทะเกมจิตวิทยาที่เชื่อใจใครไม่ได้

ข้อมูลหนัง

  • ชื่อหนัง: Mission: Impossible – Rogue Nation (ชื่อไทย: มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล – ปฏิบัติการรัฐอำพราง)
  • ปีที่ฉาย: 2015
  • หมวดหมู่: แอ็กชัน / สายลับ / ระทึกขวัญ
  • ผู้กำกับ: Christopher McQuarrie
  • ความยาว: 131 นาที
  • วันเข้าฉาย: 31 กรกฎาคม 2015 (สหรัฐอเมริกา)
  • คะแนน IMDb: 7.4 / 10

ตัวอย่าง

เรื่องย่อ

หลังจาก IMF (Impossible Mission Force) ถูกยุบโดยคำสั่งของรัฐบาล Ethan Hunt ต้องเผชิญหน้ากับองค์กรลับที่รู้จักกันในชื่อ “The Syndicate” ซึ่งรวบรวมอดีตสายลับที่หักหลังองค์กรของตัวเอง และดำเนินการโจมตีในเงามืดทั่วโลก ภารกิจของ Ethan คือการเปิดโปงตัวตนของ The Syndicate และหยุดยั้งแผนการก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ระหว่างทาง เขาได้พบกับ Ilsa Faust (Rebecca Ferguson) สายลับอังกฤษสองหน้า ผู้ซึ่งกลายเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของแฟรนไชส์ ภารกิจของ Ethan จึงไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น แต่ยังต้องตั้งคำถามกับความไว้วางใจ และเป้าหมายที่แท้จริงของผู้คนรอบตัวเขา

นักแสดง

  • Tom Cruise รับบท Ethan Hunt

  • Rebecca Ferguson รับบท Ilsa Faust

  • Jeremy Renner รับบท William Brandt

  • Simon Pegg รับบท Benji Dunn

  • Ving Rhames รับบท Luther Stickell

  • Sean Harris รับบท Solomon Lane

  • Alec Baldwin รับบท Alan Hunley

รีวิวหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) เมื่อภารกิจสายลับสุดมันส์ ปะทะเกมจิตวิทยาที่เชื่อใจใครไม่ได้
รีวิวหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) เมื่อภารกิจสายลับสุดมันส์ ปะทะเกมจิตวิทยาที่เชื่อใจใครไม่ได้

รีวิวหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) เมื่อภารกิจสายลับสุดมันส์ ปะทะเกมจิตวิทยาที่เชื่อใจใครไม่ได้

Rogue Nation คือภาคที่ยกระดับความซับซ้อนของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง การวางแผนทางจิตวิทยา และฉากแอ็กชันที่ออกแบบมาอย่างประณีต จุดแข็งของหนังไม่ใช่แค่ “ฉากระเบิด” หรือ “ไล่ล่า” แต่คือการนำเสนอภารกิจที่เหมือนเกมแมวจับหนู ที่ทั้งตัวละครและคนดูต้องคอยเดาเกมตลอดเวลา

1. การกลับมาของ Tom Cruise ในบท Ethan Hunt:

หนึ่งในจุดขายที่ไม่เคยลดลงของแฟรนไชส์ Mission: Impossible คือการแสดงของ Tom Cruise ที่ไม่ยอมใช้สตันต์แทน และใน Rogue Nation เขาท้าทายขีดจำกัดตัวเองอีกครั้งในฉากเปิดเรื่องที่กลายเป็นตำนาน — การเกาะข้างลำเครื่องบิน Airbus A400M ที่ทะยานขึ้นจริงโดยไม่ใช้ CGI หรือสายสลิง ฉากนี้ไม่เพียงเรียกเสียงฮือฮา แต่ยังส่งสัญญาณชัดว่า หนังภาคนี้ “จะไม่เล่นแบบเบาๆ” แน่นอน

นอกจากฉากบู๊ Tom Cruise ยังแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของ Ethan Hunt ที่ไม่ใช่แค่สายลับแกร่งกล้า แต่มีความเป็นมนุษย์ที่เริ่มลังเล สับสน และต้องใช้ไหวพริบมากกว่ากำลังในการรับมือกับศัตรูที่เหนือชั้นอย่าง “The Syndicate”

2. Ilsa Faust: ตัวละครหญิงที่เปลี่ยนเกมแฟรนไชส์

Rebecca Ferguson ในบท Ilsa Faust คือหนึ่งในความสดใหม่ที่สุดของแฟรนไชส์สายลับนี้ เธอไม่ได้เป็นเพียงนางเอก หรือผู้ช่วย Ethan แต่เป็น “สายลับอิสระ” ที่มีเป้าหมายของตัวเอง กล้าหาญ ฉลาดล้ำ และยืนหยัดได้ด้วยบทที่แข็งแรง การปรากฏตัวของเธอไม่เพียงแย่งซีนได้หลายครั้ง แต่ยังสร้างความซับซ้อนทางอารมณ์ ทั้งในด้านความไว้ใจ ความร่วมมือ และความรู้สึกบางอย่างที่ไม่พูดออกมาตรงๆ ระหว่างเธอกับ Ethan

3. The Syndicate: ศัตรูที่น่าจดจำที่สุดในแฟรนไชส์

หากภาคก่อนๆ ของ Mission: Impossible มีศัตรูที่เป็น “คนร้ายรายตอน” Rogue Nation นำเสนอองค์กรลับอย่าง The Syndicate ที่มีความลึกลับ เทียบชั้นได้กับ Spectre ของ James Bond ไม่ใช่แค่พวกเขาอันตราย แต่พวกเขาเคยเป็น “ตัวละครฝั่งดี” ที่หักหลังหน่วยงานต้นสังกัด ทำให้เรื่องราวเต็มไปด้วยความรู้สึกขัดแย้งและความหวาดระแวง

Sean Harris ผู้รับบท Solomon Lane เป็นวายร้ายที่ไม่ใช้พลังหรือความดุร้าย แต่ใช้ “ความเงียบสงบที่น่าขนลุก” และความเหนือชั้นในแผนการจนสามารถปั่นหัว IMF ได้ทั้งทีม

4. ฉากแอ็กชันที่เฉียบคมและออกแบบอย่างประณีต

แม้ทุกภาคของ Mission: Impossible จะขึ้นชื่อเรื่องฉากแอ็กชัน แต่ Rogue Nation มีบางฉากที่ถูกยกให้เป็นระดับ “คลาสสิก” ของหนังสายลับยุคใหม่ เช่น ฉาก潜入หอแสดงโอเปร่าในเวียนนา ที่แทบไม่มีบทพูดแต่ใช้ภาพ เสียง และจังหวะดนตรีโอเปร่าเป็นเครื่องมือสร้างความตึงเครียดได้อย่างชั้นเชิง หรือฉากไล่ล่าในโมร็อกโกที่ตัดต่ออย่างลื่นไหล สลับระหว่างมุมมองของผู้ขับรถและผู้ขับมอเตอร์ไซค์อย่างน่าทึ่ง

5. บทภาพยนตร์และการเล่าเรื่อง: ระหว่างความมันส์กับเกมจิตวิทยา

บทภาพยนตร์โดยผู้กำกับ Christopher McQuarrie ไม่ได้เน้นแต่แอ็กชันแบบไล่ยิงเท่านั้น แต่แฝงด้วยการวางกลยุทธ์และเกมชิงไหวพริบระหว่างสายลับกับองค์กรลับได้อย่างน่าสนใจ ทุกแผนที่ทีม IMF ทำต้องแลกด้วยความเสี่ยง และทุกแผนของ The Syndicate ก็ซ่อนกับดักที่บีบให้ตัวละครต้องตัดสินใจยากๆ ตลอดทาง

กระแสตอบรับ

Mission: Impossible – Rogue Nation เปิดตัวอย่างร้อนแรงและได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ โดยได้รับคะแนน 94% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ซึ่งชื่นชมด้านความลื่นไหลของแอ็กชัน เคมีนักแสดง และการพัฒนาแฟรนไชส์ให้มีมิติยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังทำรายได้ทั่วโลกกว่า 680 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหนึ่งในภาคที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของซีรีส์

Rebecca Ferguson ได้รับคำชมเป็นพิเศษในฐานะตัวละครหญิงที่ไม่ได้มาแค่เป็นเครื่องประดับ แต่สามารถยืนหยัดได้ในหนังแอ็กชันระดับบล็อกบัสเตอร์ ขณะเดียวกัน Tom Cruise ก็ยังถูกยกให้เป็น “นักแสดงที่ยอมเสี่ยงที่สุดในวงการฮอลลีวูด” จากฉากสุดโหดของเขา

บทสรุป

จุดเด่นของภาพยนตร์

  • ฉากเปิดในตำนาน ที่ Ethan เกาะเครื่องบินขณะทะยานขึ้น สร้างภาพจำให้แฟรนไชส์

  • การแนะนำตัวละครหญิงอย่าง Ilsa Faust ที่ไม่เพียงแย่งซีน แต่กลายเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของแฟรนไชส์

  • จังหวะการเล่าเรื่องที่ลงตัว ระหว่างความมันส์กับความลุ่มลึก

  • ศัตรูที่มีมิติและไม่ซ้ำซาก พร้อมบทที่วางหมากแบบเกมการเมืองสายลับ

  • ฉากแอ็กชันที่ใช้โลเกชันหลากหลาย พร้อมงานภาพที่ถ่ายสวยอย่างประณีต

Mission: Impossible – Rogue Nation คือจุดเปลี่ยนของแฟรนไชส์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มตัวละครหญิงที่แข็งแกร่ง การยกระดับศัตรูให้ซับซ้อนขึ้น หรือการผสมผสานฉากแอ็กชันกับการเล่าเรื่องที่เข้มข้น มีชั้นเชิงมากขึ้น มันไม่ใช่แค่หนังสายลับที่ดูเพื่อความมันส์เท่านั้น แต่มันคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองของทั้งตัวละครหลัก และของแฟรนไชส์นี้เอง

หากคุณคิดว่าภาคก่อนหน้าเข้มข้นแล้ว Rogue Nation คือภาคที่พิสูจน์ว่าภารกิจที่ดูเป็นไปไม่ได้ สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้เสมอ

ลลิน อัครเศรษฐ์

ลลิน อัครเศรษฐ์

ผู้เขียน

Scroll to Top