
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: Mission: Impossible – Ghost Protocol (มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล – ปฏิบัติการไร้เงา)
- ปีที่ฉาย: 2011
- หมวดหมู่: แอ็กชัน, สายลับ, ระทึกขวัญ
- ผู้กำกับ: Brad Bird
- ความยาว: 132 นาที
- วันเข้าฉาย: 7 ธันวาคม 2011 (ดูไบ), 21 ธันวาคม 2011 (สหรัฐอเมริกา)
- คะแนน IMDb: 7.4/10
ตัวอย่าง
เรื่องย่อ
หลังจากที่สำนักงานใหญ่ของ IMF ถูกระเบิดและ Ethan Hunt ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงประกาศใช้ “Ghost Protocol” ซึ่งเป็นการปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ IMF ทั้งหมด Ethan และทีมต้องปฏิบัติภารกิจโดยไม่มีการสนับสนุนจากองค์กร เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และหยุดยั้ง Kurt Hendricks ผู้ก่อการร้ายที่มีแผนจะเริ่มสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย
นักแสดง
Tom Cruise รับบท Ethan Hunt
Jeremy Renner รับบท William Brandt
Simon Pegg รับบท Benji Dunn
Paula Patton รับบท Jane Carter
Michael Nyqvist รับบท Kurt Hendricks
Léa Seydoux รับบท Sabine Moreau
Anil Kapoor รับบท Brij Nath

รีวิวหนัง Mission: Impossible – Ghost Protocol (2011) ภารกิจเสี่ยงตาย ปฏิบัติการไร้เงา กับฉากหลอกตาในตำนาน
- 🌍 ฉากแอ็กชันระดับตำนาน จุดเด่นของภาคนี้คือฉากเสี่ยงตายสุดหวาดเสียวที่ Ethan Hunt ปีนตึก Burj Khalifa ที่ดูไบ ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก โดย Tom Cruise ทำฉากนี้ด้วยตัวเองแบบไม่ใช้สตันต์ นี่คือฉากที่ไม่เพียงทำให้ผู้ชมใจเต้นแรง แต่ยังยกระดับมาตรฐานของหนังแอ็กชันไปอีกขั้น
- 🤝 ทีมเวิร์กที่เข้มข้น ทีม IMF ในภาคนี้มีความหลากหลายและมีพลัง ทุกคนมีบทบาทสำคัญ ตั้งแต่ Brandt ที่ดูเหมือนจะมีอดีตซ่อนอยู่ ไปจนถึง Benji ที่เพิ่มมิติความขบขันให้กับภารกิจอันตราย
- 🎭 นักแสดงที่เปี่ยมเสน่ห์ Tom Cruise ยังคงแบกแฟรนไชส์ไว้ด้วยพลังเต็มร้อย ส่วน Jeremy Renner, Paula Patton และ Simon Pegg ก็เติมเต็มทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนมีเคมีร่วมกันดี และทำให้คนดูเชื่อว่าพวกเขาคือ “ทีม” จริงๆ

ฉากในตำนาน: The Holographic Projection Screen
หนึ่งในฉากที่ทั้งสร้างสรรค์และน่าทึ่งที่สุดของ Ghost Protocol คือฉาก “หลอกสายตาในทางเดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีโฮโลกราฟิกสุดล้ำ ภารกิจในฉากนี้คือการลอบผ่านเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ยืนเฝ้าหน้าทางเดินในเครมลิน โดยอุปกรณ์ที่ทีม IMF ใช้คือจอภาพโฮโลกราฟิกที่ฉายภาพจำลองของปลายอีกด้านของทางเดิน
อุปกรณ์นี้มีแขนกลที่คอยติดตามการเคลื่อนไหวของสายตาผู้เฝ้าอยู่ตลอดเวลา และทำการเรนเดอร์ภาพ 3D ให้เหมือนทางเดินนั้นว่างเปล่า จุดแข็งของเทคโนโลยีนี้คือความแนบเนียนในระยะสายตาเดียว แต่ข้อจำกัดก็คือ หากมีผู้เฝ้าหลายคนที่มองจากมุมต่างกัน ระบบจะสับสนเพราะต้องเรนเดอร์หลายมุมมองพร้อมกัน
นี่คือฉากที่ทั้งเท่ ท้าทาย และทำให้แฟนหนังจดจำได้มากที่สุดในภาคนี้ เพราะมันคือการแสดงให้เห็นความเหนือชั้นของ “สายลับ” ที่ไม่ได้มีแค่การยิงหรือหนี แต่เป็นการใช้สมองล้วนๆ
กระแสตอบรับ
หนังได้รับคำชมถล่มทลายจากนักวิจารณ์ทั่วโลก Rotten Tomatoes ให้คะแนน 94% ในขณะที่ Metacritic ให้ 73/100 และ IMDb เฉลี่ยอยู่ที่ 7.4/10 รายได้รวมทั่วโลกกว่า 694 ล้านดอลลาร์ ทำให้ภาคนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของแฟรนไชส์ที่คืนชีพอย่างแท้จริง และปูทางไปสู่ภาค 5, 6, 7 ในเวลาต่อมา
จุดเด่นของภาพยนตร์
ฉากไต่ตึกเบิร์จคาลิฟาคือไอคอนแห่งยุค
อุปกรณ์สายลับที่ล้ำจินตนาการ แต่กลับรู้สึก “เป็นไปได้”
ความตื่นเต้นไม่ใช่แค่ฉากระเบิด แต่รวมถึงการใช้กลยุทธ์อย่างมีชั้นเชิง
การทำงานเป็นทีมที่มีอารมณ์ และความขัดแย้งอย่างเป็นธรรมชาติ
การรีเซ็ตโทนของแฟรนไชส์จากแนวระเบิดภูเขาเผากระท่อม มาเป็นสายลับจริงๆ
บทสรุป
Mission: Impossible – Ghost Protocol คือการหวนคืนสู่รากของความเป็น “สายลับ” พร้อมกับเติมเชื้อเพลิงความมันส์ผ่านฉากแอ็กชันระดับมาสเตอร์พีซ หากคุณกำลังมองหาหนังที่ทั้งมัน ฉลาด และจดจำได้ไม่ลืม — ภาคนี้คือคำตอบ
คะแนนแนะนำ: ⭐️⭐️⭐️⭐️☆ (4.7/5)

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน