
ข้อมูลหนัง
- ชื่อเรื่อง: Dunkirk ดันเคิร์ก
- ปีที่ฉาย: 2017
- หมวดหมู่: สงคราม, ดราม่า, ระทึกขวัญ
- ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan)
- ความยาว: 106 นาที
- วันเข้าฉาย: 20 กรกฎาคม 2017
- คะแนน IMDb: 7.8/10
นักแสดง
- ฟิออน ไวท์เฮด (Fionn Whitehead) รับบท ทอมมี่
- แฮร์รี่ สไตล์ส (Harry Styles) รับบท อเล็กซ์
- ทอม ฮาร์ดี้ (Tom Hardy) รับบท นักบินฟาร์เรียร์
- มาร์ก ไรแลนซ์ (Mark Rylance) รับบท นายทหารเรือพลเรือน
- เคนเน็ธ บรานาห์ (Kenneth Branagh) รับบท ผู้บัญชาการโบลตัน

เรื่องย่อ Dunkirk การเอาชีวิตรอดจากสงครามที่ไร้ชัยชนะ
Dunkirk ถ่ายทอดเหตุการณ์จริงในปี 1940 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารอังกฤษและฝรั่งเศสกว่า 400,000 นาย ติดอยู่บนชายหาดดันเคิร์กของฝรั่งเศส ขณะที่กองทัพเยอรมันกำลังรุกคืบเข้ามา การถอยทัพคือทางรอดเดียว แต่ชายหาดที่เต็มไปด้วยศัตรูทำให้ทุกวินาทีคือความเป็นความตาย
หนังเล่าเรื่องผ่าน 3 มุมมองหลัก ซึ่งดำเนินไปพร้อมกันแต่มีระยะเวลาต่างกัน
- “ทางบก – 1 สัปดาห์” ทหารหนุ่ม ทอมมี่ (Fionn Whitehead) และเพื่อนต้องหาทางขึ้นเรือเพื่อหนีตาย แต่การออกจากดันเคิร์กไม่ง่ายอย่างที่คิด
- “ทางทะเล – 1 วัน” กลุ่มพลเรือนที่ใช้เรือเล็กออกไปช่วยทหาร ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตเข้าภัยสงคราม
- “ทางอากาศ – 1 ชั่วโมง” นักบินอังกฤษ ฟาร์เรียร์ (Tom Hardy) ต่อสู้กับเครื่องบินเยอรมันเพื่อคุ้มกันการอพยพ
หนังพาผู้ชมเข้าสู่ความโกลาหล ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังของทหารที่ต้องเอาชีวิตรอด โดยไม่มีฮีโร่ ไม่มีแผนการพลิกเกม มีเพียงความพยายามดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดเท่านั้น
ตัวอย่าง Dunkirk ดันเคิร์ก
รีวิว Dunkirk (2017) กับแนวทางหนังสงครามที่ไม่เหมือนใคร
สงครามที่ไม่มีฉากเลือดสาด แต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด

Dunkirk แตกต่างจากหนังสงครามทั่วไปที่มักเต็มไปด้วยฉากต่อสู้รุนแรงและฉากดราม่าหนักหน่วง หนังเรื่องนี้เลือกใช้ “ความเงียบ ความกดดัน และเสียง” เป็นเครื่องมือหลักในการเล่าเรื่อง
- ไม่มีฉากเลือดสาด ไม่มีภาพการสังหารโหดร้าย แต่กลับทำให้คนดูรู้สึกถึงความกดดันของสงครามได้อย่างเต็มที่
- ไม่มีตัวละครเอกที่เป็นวีรบุรุษ ทุกคนในเรื่องคือตัวละครที่ต้องเอาชีวิตรอด ไม่มีใครโดดเด่นกว่ากัน
- ทุกวินาทีคือความหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือจะต้องตาย ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบไร้คำเตือน
หนังไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์แบบตรงไปตรงมา แต่เลือกให้ คนดูสัมผัสความรู้สึกของทหารที่ติดอยู่ในสถานการณ์ที่แทบไม่มีความหวัง
ความสมจริงของการแสดงที่ไม่ต้องใช้บทพูดมากมาย
- Fionn Whitehead ถ่ายทอดบทบาทของทหารที่ต้องเอาตัวรอดได้ดี เขาไม่ได้เป็นฮีโร่ แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามมีชีวิตรอด
- Tom Hardy แม้จะมีบทพูดน้อย แต่การแสดงออกทางแววตาของเขาในบทนักบินที่ต้องสู้ศัตรูบนฟ้านั้นทำให้คนดูรู้สึกถึงภาระที่แบกรับ
- Mark Rylance กับบทบาทของพลเรือนที่ใช้เรือเล็กออกไปรับทหาร เป็นตัวแทนของความกล้าหาญของประชาชนที่ไม่ได้เป็นทหาร
หนังเรื่องนี้ไม่พึ่งบทพูดมากนัก แต่ใช้สายตา สีหน้า และบรรยากาศของฉากในการสื่ออารมณ์แทน

การกำกับของ Christopher Nolan เผยความโดดเด่นของภาพ เสียง และการเล่าเรื่อง
โนแลนใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง เชื่อมโยง 3 เส้นเวลาต่างกันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้เกิดความลุ้นระทึกที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
- ภาพยนตร์ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ทำให้ภาพดูสมจริง ยิ่งใหญ่ และดึงผู้ชมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์
- ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer เป็นหนึ่งในจุดเด่นของหนัง ใช้เสียง “Ticking Clock” (เสียงนาฬิกาเดิน) เพื่อสร้างความกดดัน ทำให้หนังเต็มไปด้วยความตึงเครียดตลอดเวลา
คำติชมบางส่วน
ต้องบอกก่อนว่าดันเคิร์กไม่ใช่หนังสงครามที่ทุกคนจะชอบ เพราะไม่มีฉากแอ็กชันดุเดือดแบบ Saving Private Ryan หรือ 1917 ไม่มีตัวละครหลักที่ให้ติดตามเป็นพิเศษ ทำให้บางคนอาจรู้สึกว่าขาดจุดโฟกัส แถมเส้นเวลาอาจทำให้คนดูสับสนในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าใจแล้วจะรู้ว่านี่คือจุดเด่นของหนัง
สรุป Dunkirk ไม่ใช่หนังสงครามทั่วไป แต่มันคือประสบการณ์ของความสิ้นหวังและการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด
ถ้าคุณมองหาหนังที่สมจริง น่าติดตาม และมีเทคนิคการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้ถูกใจคนที่ต้องการฉากแอ็กชันแบบดั้งเดิมและเป็นแฟนคลับของ Christopher Nolan ที่ชอบสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา รวมถึงคนที่อยากสัมผัสมุมมองของสงครามที่เน้น “การเอาชีวิตรอด” มากกว่าการต่อสู้ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอน
โดยสรุปแล้ว Dunkirk เป็นหนังที่ต้องดูแบบตั้งใจ เพราะมันไม่ได้เล่าเรื่องสงครามในแบบเดิม ๆ แต่มันทำให้คนดู “รู้สึก” ถึงสงครามจริง ๆ ถ้าคุณกำลังมองหาหนังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ กดดัน และสะท้อนความเป็นมนุษย์