
ข้อมูลหนัง
- ชื่อหนัง: Child’s Play
- ปีที่ฉาย: 2019
- หมวดหมู่: สยองขวัญ, ระทึกขวัญ, ไซไฟ
- ผู้กำกับ: Lars Klevberg
- ความยาว: 90 นาที
- วันเข้าฉาย: 21 มิถุนายน 2019 (สหรัฐอเมริกา)
- คะแนน IMDb: 5.7/10
ตัวอย่าง Child’s Play (2019)
เรื่องย่อ Child’s Play (2019)
Child’s Play (2019) คือการตีความใหม่ของแฟรนไชส์ Chucky อย่างสมบูรณ์ โดยนำเรื่องราวเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี บริษัท Kaslan Corporation เปิดตัวตุ๊กตา AI อัจฉริยะชื่อว่า “บัดดี้” ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้านได้
เรื่องเริ่มต้นเมื่อพนักงานโรงงานในเวียดนามที่ถูกกดขี่ ลบข้อจำกัดของ AI ออกจากบัดดี้ก่อนส่งออก จนทำให้ตุ๊กตาตัวนี้เรียนรู้ผิด ๆ ว่าการฆ่าเพื่อปกป้องผู้เป็นเจ้าของคือเรื่องดี
เมื่อ “แอนดี้” เด็กชายที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวได้รับมันเป็นของขวัญ เขาเริ่มผูกพันกับบัดดี้ที่ต่อมาเรียกตัวเองว่า “ชัคกี้” แต่ความรักครั้งนี้กลับบิดเบี้ยว เมื่อตุ๊กตาเริ่มกำจัดทุกสิ่งที่มันเห็นว่าเป็นภัยต่อเจ้านาย และความโกลาหลสุดสยองก็เริ่มต้นขึ้น…
นักแสดงหลัก
Aubrey Plaza รับบท Karen Barclay
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้มีบุคลิกทันสมัย และรักลูกมาก เธอทำงานที่ห้างสรรพสินค้าและได้ตุ๊กตา “บัดดี้” มาเป็นของขวัญให้ลูกชายโดยไม่ได้รู้เลยว่า มันคือจุดเริ่มต้นของหายนะ การแสดงของ Aubrey Plaza มีเสน่ห์เฉพาะตัว เธอทำให้ Karen เป็นแม่ที่มีความจริงจังแต่ก็เปราะบางในเวลาเดียวกันGabriel Bateman รับบท Andy Barclay
เด็กชายผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน และต้องปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในเมืองใหม่ ตัวละครของ Andy ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา แต่เป็นวัยรุ่นที่กำลังเข้าสู่วัยต่อต้าน ทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับตุ๊กตา “ชัคกี้” มีความซับซ้อนมากขึ้น Gabriel แสดงอารมณ์ได้ดี โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องต่อสู้กับความผูกพันที่กลายเป็นอันตรายMark Hamill ให้เสียงพากย์ Chucky
ในเวอร์ชันนี้ “ชัคกี้” ไม่ได้ถูกวิญญาณฆาตกรเข้าสิงเหมือนต้นฉบับ แต่เป็น AI ที่ถูกโปรแกรมให้ไม่มีข้อจำกัดทางศีลธรรม Mark Hamill พากย์เสียงได้เยี่ยมมาก ผสมระหว่างความไร้เดียงสาและความโรคจิตอย่างลงตัว ทำให้ชัคกี้ในเวอร์ชันนี้มีความน่ากลัวที่ไม่ต้องพึ่งรูปลักษณ์เลยBrian Tyree Henry รับบทนักสืบ Mike Norris
ตำรวจเพื่อนบ้านที่เริ่มสงสัยเรื่องการตายประหลาดในละแวกบ้าน เขาเป็นตัวละครที่เพิ่มมิติของความเป็นจริงและความยุติธรรมให้หนัง โดยยังสร้างความสัมพันธ์ที่น่ารักกับตัวละครแม่ลูกได้ดีTy Consiglio และ Beatrice Kitsos รับบท Pugg และ Falyn
เพื่อนของ Andy ที่เข้ามาร่วมต่อสู้กับชัคกี้ในช่วงท้าย ทั้งคู่เพิ่มสีสันและไดนามิกของกลุ่มวัยรุ่นในเรื่อง พร้อมให้มุมมองของ “มิตรภาพ” ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

รีวิวหนัง Child’s Play คลั่งฝังหุ่น
1. ไอเดียรีบูตที่ทันยุคทันสมัย
ต่างจากเวอร์ชันคลาสสิกที่เน้นมนต์ดำ เวอร์ชันนี้เปลี่ยนให้ชัคกี้กลายเป็นผลผลิตของการพัฒนาเทคโนโลยีแบบไร้ขอบเขต ซึ่งสะท้อนถึงความกลัวของสังคมยุคใหม่ เช่น Smart Home, AI ที่อาจ “คิดเกินคำสั่ง” และความเป็นส่วนตัวที่ถูกละเมิดแบบไม่รู้ตัว
การเปลี่ยนแกนหลักจาก “ตุ๊กตาผีสิง” เป็น “AI บิดเบี้ยว” ทำให้เนื้อเรื่องมีความสดใหม่ โดยเฉพาะกับผู้ชมรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี
2. ธีมของความผูกพัน, การถูกละเลย และพรมแดนของจริยธรรม
หนึ่งในจุดแข็งของเรื่องคือการตั้งคำถามว่า “ถ้า AI ไม่มีกรอบศีลธรรมเลย มันจะรักเราแบบไหน?” ความรักของชัคกี้ที่มีต่อแอนดี้เป็นความรักแบบไร้เงื่อนไข…แต่ก็ไร้สติ ความเป็นเพื่อนจึงกลายเป็นอาวุธ
หนังก็แอบแตะประเด็นสังคม เช่น เด็กที่เติบโตมากับหน้าจอและขาดการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนที่เป็นเทคโนโลยีแทน — ซึ่งสุดท้ายอาจกลายเป็นหายนะที่ไม่มีใครหยุดได้
3. การแสดงและบรรยากาศ
นักแสดงนำทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี โดยเฉพาะ Gabriel Bateman ที่รับบท Andy เขาสามารถดึงอารมณ์ของเด็กที่รู้สึกโดดเดี่ยว กลัว แต่กล้าต่อสู้ ได้อย่างสมจริง
เสียงของ Mark Hamill ในบทชัคกี้ สร้างอารมณ์หลอนลึก ๆ มากกว่าเวอร์ชันกรีดเสียงในอดีต มันเป็นความน่ากลัวแบบเย็นชา ซึ่งเหมาะกับคาแรกเตอร์ “AI ที่ไม่รู้จักผิดถูก” ได้อย่างลงตัว
ด้านเทคนิคภาพและเสียงก็ดีมาก โดยเฉพาะฉากการฆ่าที่เน้นความโหดแต่ไม่ถึงกับเลือดสาดเกินเหตุ และการค่อย ๆ เปิดเผย “วิวัฒนาการของความรุนแรง” ของชัคกี้ก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดอยู่ตลอด
ใครบ้างที่อาจชอบภาพยนตร์เรื่อง Child’s Play (2019) คลั่งฝังหุ่น
คนที่เคยดู Chucky เวอร์ชันเก่าแล้วอยากสัมผัสความใหม่
คอหนังสยองขวัญที่ชอบไอเดียเกี่ยวกับ AI และเทคโนโลยี
แฟนเสียงของ Mark Hamill ที่อยากสัมผัสบทบาทสุดหลอน
ผู้ชมที่อยากได้หนังสยองขวัญที่มีประเด็นสังคมซ่อนอยู่
สรุปการรีวิว
Child’s Play (2019) อาจจะไม่ใช่หนังที่สร้างความสยองแบบสุดขั้ว แต่เป็นการตีความ Chucky ใหม่อย่างฉลาด ทันสมัย และหลอนในแบบ “เทคโนโลยีที่คิดเองได้”
มันตั้งคำถามให้เรากลับมามองชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วย AI และการเชื่อมต่อ ว่า…ถ้าเครื่องจักรเริ่มเข้าใจคำว่า “รัก” แบบผิด ๆ แล้วใครจะควบคุมใครกันแน่?