
หลังจากรอคอยกันถึง 18 ปีในที่สุด 28 Years Later ภาคต่อจากตำนานซอมบี้ของแดนนี่ บอยล์ ก็กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมการเล่าเรื่องใหม่และลูกเล่นเร็ว-ช้าในโลกหลังการระบาดของไวรัส Rage film.
ข้อมูลหนัง
รายละเอียด | ข้อมูล |
---|---|
ชื่อหนัง: | 28 Years Later |
ปีที่ฉาย: | 2025 |
หมวดหมู่: | Horror / Post‑apocalyptic / Zombie |
ผู้กำกับ: | Danny Boyle |
ความยาว: | 115 นาที |
วันเข้าฉาย: | 20 มิถุนายน 2025 (สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ) |
คะแนน IMDb: | 7.2/10 (ข้อมูล ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2568) |
เรื่องย่อ
โลกในปี 2025 เต็มไปด้วยผลพวงของไวรัส Rage ที่ล้างโลกจากเดิม 28 ปีที่ผ่านมา ครอบครัว Jamie มีลูกชาย Spike ที่เติบโตในเกาะ Holy Island ซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก เมื่อ Isla แม่ของ Spike ป่วยหนัก ครอบครัวจึงตัดสินใจนำ Spike และ Jamie เดินทางกลับสู่ผืนแผ่นดินเพื่อหาหมอ Dr. Kelson แต่ระหว่างทางพวกเขาได้เผชิญกับฝูง “Alpha” — กลุ่มติดเชื้อกลายพันธุ์ขั้นสูง — ร่วมกับทหารต่างชาติ Erik ที่รอดตายจากภารกิจ แล้วพบว่าความหวังชีวิตอาจไม่ได้อยู่ในความแข็งแกร่ง แต่มีอยู่ในความเสียสละและความรักที่ไม่มีวันลืม
นักแสดง
Jodie Comer รับบท Isla
Aaron Taylor-Johnson รับบท Jamie
Alfie Williams รับบท Spike ทารกโตขึ้นเป็นวัยรุ่น
Ralph Fiennes รับบท Dr. Ian Kelson
Jack O’Connell รับบท Jimmy Crystal ผู้นำลัทธิที่ได้แรงบันดาลใจจาก Jimmy Savile
Erin Kellyman รับบท Jimmy Ink
รีวิวหนัง 28 Years Later (2025) คุ้มไหมกับ 18 ปีที่รอคอยภาคต่อในตำนานซอมบี้
การกลับมาของ Danny Boyle ในฐานะผู้กำกับหลังจากห่างหายจากแฟรนไชส์นี้ไปตั้งแต่ 28 Days Later (2002) ถือเป็นไพ่เด็ดที่แฟนหนังซอมบี้คาดหวังมากที่สุด และก็ต้องยอมรับว่า 28 Years Later (2025) ไม่ได้พยายามเป็นแค่ภาคต่อธรรมดา ๆ แต่เลือกจะ “แหวก” และ “เสี่ยง” อย่างจงใจในหลายแง่มุม — ทั้งเชิงโครงสร้างการเล่าเรื่อง จังหวะการเคลื่อนกล้อง ไปจนถึงธีมลึกซึ้งที่พูดถึงความเป็นมนุษย์หลังการสิ้นสุดของโลกในแบบที่ไม่ฟูมฟายเกินจำเป็น

หนึ่งในจุดเด่นของหนังคือ บรรยากาศความสิ้นหวังและความโดดเดี่ยว ที่แทรกซึมตั้งแต่ฉากแรกบนเกาะ Lindisfarne หนังใช้เวลาเล่าชีวิตอันเงียบเหงาและรกร้างของ Isla และลูกชายอย่าง Spike ได้อย่างทรงพลัง โดยไม่ต้องพึ่งซอมบี้ปรากฏตัวทุก 5 นาที ความกดดันและ “ความรู้สึกกลวงโบ๋” เหมือนอยู่ในโลกที่หมดอนาคต เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจผู้ชมอย่างแนบเนียน
ด้านการแสดง Jodie Comer โดดเด่นอย่างมากในบทแม่ที่ป่วยเรื้อรังและเผชิญกับภาวะหมดหวัง เธอแบกอารมณ์ของครอบครัวไว้ทั้งหมด ขณะที่ Aaron Taylor-Johnson รับบทพ่อที่พยายามจะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ในโลกที่ทุกอย่างพังลงไปแล้ว การแสดงของทั้งคู่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน มีฉากที่ไม่มีบทพูด แต่การสบตาเพียงครั้งเดียวก็สื่อสารได้มากกว่าประโยคยืดยาว ส่วน Alfie Williams ในบท Spike เองก็ทำได้เกินความคาดหวัง เด็กชายที่เติบโตในโลกที่ไร้อนาคต กลับแสดงออกถึงความมุ่งมั่นแบบบริสุทธิ์ได้อย่างน่าจับตามอง
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง หนังเริ่ม “เลี้ยว” ไปสู่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย — คือการเปิดเผยว่าไวรัส Rage ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็น “Alpha strain” ซึ่งไม่ได้แค่บ้าคลั่งไล่ฆ่าแบบเดิม แต่เริ่มแสดงพฤติกรรมที่ซับซ้อน ฉลาดขึ้น และมีแนวโน้ม “เลือกเหยื่อ” ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่ไม่ใช่แค่กายภาพ แต่เป็น “จิตใจ” ที่เราต้องเผชิญกับความโหดร้ายที่มองไม่เห็น

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขโมยซีนคือ การถ่ายภาพ โดย Anthony Dod Mantle ที่เคยร่วมงานกับ Boyle ใน Slumdog Millionaire งานภาพในภาคนี้ยังคงเอกลักษณ์ของ “ความไม่เสถียร” และ “กล้องไหล” ที่สร้างความอึดอัดได้ดีเป็นพิเศษ ในบางฉากเขาใช้ iPhone ถ่ายเพื่อให้ได้ความรู้สึกดิบและสมจริง โดยเฉพาะฉากซอมบี้ไล่ล่าในอุโมงค์ที่ดูเหมือนเราถูกลากเข้าไปในฝันร้ายด้วยตนเอง
ด้านโทนหนัง 28 Years Later ไม่ได้เน้นความระทึกตลอดเวลาแบบภาคก่อนหน้า แต่หันมาใช้ “ความนิ่ง” เป็นเครื่องมือทางอารมณ์ จุดที่หลายคนอาจมองว่าน่าเบื่อ กลับกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว หนังไม่ได้เร่งจังหวะเพื่อเอาใจคนดูยุคสั้นเสมอไป แต่มุ่งพาเราไปสู่คำถามที่ลึกกว่า เช่น “เราจะอยู่ร่วมกับอดีตที่ทำร้ายเราได้ไหม?” หรือ “มนุษย์ควรจะเดินหน้าหรือจบชีวิตกันแค่ตรงนี้?”
ประเด็นความขัดแย้งในตอนท้าย ที่ Spike ตัดสินใจฆ่าแม่ตัวเอง (เพื่อหยุดความเจ็บปวด) และเลือกเก็บทารกที่เกิดจากผู้ติดเชื้อไว้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ “ไม่ยอมจำนนต่อความกลัว” และปล่อยให้โลกใบใหม่มีโอกาสเริ่มต้น แม้จะถูกปนเปื้อนตั้งแต่ต้นทางก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ก็มีบางจุดที่อาจแบ่งผู้ชมออกเป็น 2 ฝ่าย — เช่นตัวละคร Jimmy Crystal และกลุ่มลัทธิที่เหมือนเป็น “Satire” ทางสังคม ที่บางคนมองว่าแปลกประหลาดและไม่เข้ากับโทนหนังเดิม ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นการสะท้อน “ความคลั่งไคล้ผิดที่ผิดทาง” ของมนุษย์หลังความพังทลาย
สรุป แล้ว 28 Years Later อาจไม่ใช่ภาคที่ดุเดือดหรือให้ความสะใจที่สุดในแฟรนไชส์นี้ แต่มันคือภาคที่ “กล้าจะต่าง” และเลือกใช้วิธีสงบ นิ่ง และหม่นเศร้า เพื่อชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดหลังวันสิ้นโลก… ไม่ใช่ซอมบี้ แต่คือความไม่รู้ว่าเรายังเหลือความเป็นคนอยู่หรือไม่

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน