
หากพูดถึงเหตุการณ์ที่ “เขย่าจักรวาล” ของ DC Comics ได้จริง Crisis on Infinite Earths ย่อมติดอันดับต้น ๆ เพราะมันคือการล้างไพ่ทั้งมัลติเวิร์สที่เคยมีมา แล้วสร้างระบบใหม่ที่ทำให้แฟน ๆ ตื่นตะลึง และกลายเป็นมาตรฐานให้กับเรื่องราว “ข้ามจักรวาล” ของทั้ง DC และค่ายอื่นในเวลาต่อมา
ในปี 2024 นี้ Warner Bros. Animation ได้เลือกหยิบ “Crisis” กลับมาปัดฝุ่นใหม่ในรูปแบบแอนิเมชัน 3 ภาคจบ ซึ่งทำหน้าที่ทั้งเป็นบทสรุปของจักรวาล Tomorrowverse และเป็นการตีความใหม่ที่ผสมผสานความกล้าหาญกับความเคารพต้นฉบับได้อย่างน่าสนใจ

Part One: จุดเริ่มต้นของความโกลาหล
ภาคแรกเป็นการโฟกัส The Flash และการปะทะของความจริงจากหลากโลก
ภาคแรกเปิดเรื่องอย่างนุ่มลึกผ่านสายตาของ Barry Allen หรือ The Flash ที่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในเส้นเวลา ไม่ว่าจะเป็นความฝันซ้ำ ๆ เสียงเรียกจากอนาคต หรือการปรากฏตัวของ Harbinger — ผู้ส่งสารจากอนาคตที่มาบอกว่า “มัลติเวิร์สกำลังจะตาย”
แม้จะเป็นภาคที่เน้นการปูเรื่องและแนะนำแนวคิดเรื่อง “โลกคู่ขนาน” แต่การนำเสนอทำได้อย่างมีชั้นเชิง โดยเฉพาะการถ่ายทอดความสับสนของ Barry ที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โลกของเขาอาจไม่ใช่โลก “หลัก” หรือ “สำคัญ” ที่สุด
ภาคนี้ยังพาเราไปเจอกับตัวละครสำคัญจากโลกต่าง ๆ อย่าง Superman Earth-2, The Justice Society, และ Dr. Multiverse ซึ่งช่วยขยายภาพของมัลติเวิร์ส DC ได้กว้างขึ้นมาก
ประเด็นเด่นที่น่าสนใจสำหรับ Part One คือ งานภาพมีการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดจากแอนิเมชันก่อนหน้าใน Tomorrowverse และการโฟกัสที่ตัวละคร The Flash ช่วยเชื่อมคนดูกับอารมณ์ได้ดี เพราะเขาคือ “มนุษย์ธรรมดาในโลกพิเศษ” รวมถึงการวางหมากของเรื่องราวเพื่อไปสู่จุดพีคในภาคต่อ ๆ ไป ทำได้อย่างรอบคอบ
น่าเสียดายที่ผู้ชมที่ไม่เคยดู Tomorrowverse อาจงงกับลำดับโลกและตัวละครใหม่

Part Two: เส้นแบ่งระหว่างความหวังและความสิ้นหวัง
ภาคสองเป็นการโฟกัส สงครามที่เริ่มไร้ความหมายและการสูญเสียที่ไม่มีวันลืม
ภาคสองเริ่มอย่างหนักแน่นด้วยฉากการล่มสลายของ Earth-3 ตามมาด้วยการระดมพลของเหล่าฮีโร่จากทุกจักรวาล ในขณะที่ Anti-Monitor เริ่มใช้ “Anti-Matter Wave” ทำลายโลกต่าง ๆ เป็นลูกโซ่ การประชุมของ Justice League กลายเป็นความสิ้นหวังมากกว่าความหวัง
ภาคนี้คือการสลับฉากระหว่าง “ความพยายามที่ไร้ผล” กับ “ความเสียสละ” เราเห็นฮีโร่หลายคนต้องยอมวางชีวิตเพื่อปกป้องโลก แม้จะรู้ดีว่าชัยชนะอาจไม่มีจริง โดยเฉพาะการจากไปของตัวละครระดับ Wonder Woman และ Hawkman ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของคำว่า “Crisis” จริง ๆ
นอกจากนี้ยังเริ่มเผยให้เห็นความเชื่อมโยงของภาคนี้กับคอมิกส์ต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวของ Pariah, การแตกแยกระหว่าง Superman จากต่างโลก หรือแม้แต่ความลับของ Monitor ที่ไม่ใช่ผู้คุมสมดุลอย่างที่เข้าใจ
ประเด็นเด่นที่น่าสนใจสำหรับ Part Two คือ อารมณ์ดราม่าเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะกับการ “หมดศรัทธา” ของบางตัวละคร และฉากแอ็กชันจัดเต็มมีการกระจายบทได้ดี แต่การเสียชีวิตของตัวละครสำคัญบางตัวอาจทำให้คนดูเสียความรู้สึกและดราม่าเกินไป
และอีกเช่นเคย น่าเสียดายที่ ความซับซ้อนเริ่มมากขึ้น ผู้ชมที่ไม่ได้ติดตาม DC มายาวนานอาจรู้สึกงงเล็กน้อย เช่นเดียวกันกับภาค 1

Part Three: จุดจบและการเกิดใหม่ของจักรวาล
ภาคสุดท้ายของปี 2024 เป็นการโฟกัส การเสียสละของ Flash และจุดจบของ Tomorrowverse
ภาคสุดท้ายคือการปิดฉากแบบ “บีบหัวใจ” ทั้งในด้านเนื้อหาและอารมณ์ ทุกจักรวาลเหลือเพียงเสี้ยวสุดท้าย และการตัดสินใจของ Barry ที่จะย้อนเวลาเพื่อ “รีเซ็ตมัลติเวิร์ส” ทำให้ต้องแลกกับการหายไปของตนเองจากทุกการมีอยู่
ฉากไคลแมกซ์ของภาคนี้น่าจดจำมาก ไม่ใช่เพราะแอ็กชันสุดมันส์ แต่เพราะมัน “ช้า หนัก และเศร้า” เราได้เห็น The Flash วิ่งครั้งสุดท้าย, Superman จาก Earth-2 บอกลา Lois, และแม้แต่ Lex Luthor ก็ยังมีบทสรุปที่ซับซ้อนและมีมิติ
ภาคนี้ยังเลือกจะ รีเซ็ตจักรวาลใหม่ ซึ่งทำให้ Tomorrowverse ถูกปิดฉากลงอย่างสวยงาม แถมทิ้งท้ายด้วย “การเกิดใหม่” ที่เปิดช่องให้จักรวาลใหม่ของ DC Animation ในอนาคตได้อย่างลงตัว
ประเด็นเด่นที่น่าสนใจสำหรับ Part Three คือ การคลี่คลายปมสำคัญทุกเส้นอย่างประณีต และที่สำคัญที่สุดคือ การเสียสละของ Flash คือหัวใจของเรื่องที่ถ่ายทอดได้ทรงพลังมาก ถือว่ามีฉากจบที่ให้เกียรติทั้งแฟนคอมิกส์และแฟนแอนิเมชัน
ภาคสุดท้ายน่าเสียดายตรงที่ บางตัวละครที่น่าจะมีบทมากกว่านี้ถูกลดทอนบทลงเพื่อความกระชับ รวมถึงผู้ชมบางกลุ่มอาจอยากเห็นสเกลใหญ่กว่านี้ในฉากต่อสู้สุดท้าย
สรุปภาพรวม: Crisis นี้ไม่ทำให้ผิดหวัง
Justice League: Crisis on Infinite Earths คือการทดลองที่กล้าหาญในแอนิเมชัน DC ยุคใหม่ ทั้งสามภาคไม่ได้แค่สร้างความตื่นเต้น แต่ยังพาคนดูดำดิ่งสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ ความสูญเสีย, การเลือกเสียสละ, และความหมายของการเป็น “ฮีโร่”
สำหรับแฟน DC แบบฮาร์ดคอร์ — มันคือการคารวะคอมิกส์ระดับตำนาน
สำหรับแฟนแอนิเมชันทั่วไป — มันคือไตรภาคที่มีทั้งหัวใจและความบันเทิง
คะแนนรวมไตรภาค: 4.3/5
เหมาะกับใคร:
คนที่ติดตาม Tomorrowverse มาตลอด
แฟน DC Comics โดยเฉพาะคนที่เคยอ่าน Crisis
คนที่ชอบแอนิเมชันเนื้อหาเข้มข้น ดราม่า และมีความหมาย

ลลิน อัครเศรษฐ์
ผู้เขียน