
ข้อมูลซีรีส์
- ชื่อหนัง: Shadow and Bone ตำนานกรีชา
- ปีที่ฉาย: ซีซั่น 1 (2021), ซีซั่น 2 (2023)
- หมวดหมู่: แฟนตาซี / ผจญภัย / ดราม่า / แอ็กชัน
- ผู้กำกับ: อีริค เฮเซอเรอร์ (Eric Heisserer – Showrunner), หลายผู้กำกับในแต่ละตอน
- ความยาว: ซีซั่น 1 – 8 ตอน, ซีซั่น 2 – 8 ตอน (ตอนละประมาณ 45–60 นาที)
- วันเข้าฉาย:
ซีซั่น 1: 23 เมษายน 2021
ซีซั่น 2: 16 มีนาคม 2023
คะแนน IMDb: 7.6 / 10 (โดยเฉลี่ยรวมทั้ง 2 ซีซั่น)
นักแสดงและบทบาท
เจสซี เม ลี (Jessie Mei Li) รับบท อลีนา สตาร์คอฟ (Alina Starkov)
เบน บาร์นส์ (Ben Barnes) รับบท เจเนอรัล คิริแกน / เดอะดาร์คลิง (General Kirigan / The Darkling)
อาร์ชี เรโนซ์ (Archie Renaux) รับบท มัล โอเรตเซฟ (Malyen “Mal” Oretsev)
เฟรดดี้ คาร์เตอร์ (Freddy Carter) รับบท แคซ เบรคเกอร์ (Kaz Brekker)
อามิตา สุมาน (Amita Suman) รับบท อิเนจ กาฟา (Inej Ghafa)
คิต ยัง (Kit Young) รับบท เจสเปอร์ ฟาเฮย์ (Jesper Fahey)
พาทริค กิ๊บสัน (Patrick Gibson) รับบท เจ้าชายนิโคไล แลนต์ซอฟ (Prince Nikolai Lantsov)
ตัวอย่างซีรีส์
เรื่องย่อ
โลกของ Shadow and Bone ตั้งอยู่ในดินแดนแฟนตาซีชื่อ Ravka ที่ถูกแบ่งขาดด้วยพรมแดนแห่งความมืดที่เรียกว่า The Fold หรือ Shadow Fold สิ่งมีชีวิตอันตรายที่อาศัยอยู่ในความมืดนั้นทำให้การเดินทางข้ามภูมิภาคเป็นไปแทบไม่ได้เลย
ในท่ามกลางความหวาดกลัวและสงคราม Alina Starkov เด็กสาวกำพร้าในกองทัพของ Ravka กลับค้นพบว่าตนเองเป็น Sun Summoner ผู้มีพลังหายากในตำนานซึ่งอาจทำลาย The Fold ได้ ความจริงนี้ทำให้เธอกลายเป็นเป้าหมายของทั้งผู้ที่อยากใช้พลังเธอเป็นเครื่องมือ และผู้ที่อยากจะทำลายเธอ
พร้อมกับเรื่องราวของ “แก๊งโจร” จากเมือง Ketterdam นำโดย Kaz Brekker ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับการเมือง การหักหลัง และการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิต ทั้งหมดนี้ถูกถักทอเข้าด้วยกันอย่างลงตัวในสองซีซั่นที่เต็มไปด้วยพลังเวท เสน่ห์แห่งความสัมพันธ์ และเดิมพันที่สูงยิ่งกว่าใครคาดคิด
รีวิวซีรีส์ Shadow and Bone ซีซั่น 1–2 จากเด็กกำพร้าสู่ความหวังของโลก กับสงครามพลังเวท มิตรภาพ และความรักที่เจ็บปวด

ในจักรวาลแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ การเมือง และผู้คนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ซีรีส์ Shadow and Bone บน Netflix ไม่ได้เป็นแค่ซีรีส์แฟนตาซีธรรมดา แต่มันคือการเรียกคืนจินตนาการระดับมหากาพย์ ที่ผสานความดิบของสงคราม ความโรแมนติกที่ซ่อนปม และพลังของการก้าวข้ามโชคชะตาเข้าด้วยกัน
จุดเริ่มต้นจากความมืด: ซีซั่น 1 และการตื่นของ Sun Summoner
ซีรีส์เริ่มต้นจาก Alina Starkov หญิงสาวสามัญที่ค้นพบว่าตนเองมีพลังในตำนาน—Sun Summoner ผู้สามารถควบคุมแสงได้ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำลาย “The Fold” หรือ เงาทมิฬ ที่แบ่งประเทศ Ravka ออกเป็นสองส่วน
แต่อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อแสงต้องเผชิญกับเงา? การปรากฏตัวของ General Kirigan (The Darkling) ชายผู้ลึกลับและมีเสน่ห์ที่ต้องการใช้พลังของ Alina เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก กลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างการกอบกู้กับการครอบงำ
ภายในโลกที่เต็มไปด้วย Grisha—กลุ่มผู้มีพลังวิเศษที่ถูกแบ่งเป็นสายพลังต่างๆ เช่น Etherealki (ควบคุมธาตุ), Corporalki (ควบคุมร่างกาย), และ Materialki (ควบคุมวัตถุ)—Alina ต้องเรียนรู้วิธีอยู่รอด ในขณะที่คำว่า “ผู้กอบกู้” กำลังกลายเป็นภาระที่หนักเกินจะแบก

จากสนามรบสู่ถนนสายอาชญากรรม: การขยายจักรวาลในซีซั่น 2
ซีซั่นที่สองเปิดโลก Grishaverse ให้กว้างขึ้นด้วยการขยับโฟกัสไปยังตัวละครจาก Six of Crows—ทีมโจรวางแผนขั้นเทพแห่ง Ketterdam นำโดย Kaz Brekker, Inej, และ Jesper ซึ่งกลายเป็นไลน์เสริมที่แย่งซีนได้อย่างน่าประทับใจ
พร้อมกันนั้น Alina ก็ยังคงเดินหน้าล่ารูนอสูร (Amplifiers) เพื่อเพิ่มพลังให้สามารถต่อกรกับ Kirigan ได้ แต่ยิ่งเธอแกร่งเท่าไร โลกก็ยิ่งพังทลายเร็วขึ้นเท่านั้น ความรักสามเส้าระหว่าง Alina – Mal – Kirigan ยังชวนให้คนดูลังเลใจอยู่เสมอ ว่าควรอยู่ฝั่งไหน
และอย่าลืมว่าในซีซั่น 2 นี้ เรายังได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง Nikolai Lantsov เจ้าชายผู้เต็มไปด้วยปริศนาและอารมณ์ขัน ที่มาเสริมเสน่ห์ให้เรื่องราวมีสีสันมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ซีรีส์ทำได้ดี
โลกแฟนตาซีที่มีมิติทางสังคมและการเมือง: Ravka ไม่ใช่แค่เวทีของเวทมนตร์ แต่มันคือภาพสะท้อนของสงคราม การแบ่งชนชั้น และการล่าอำนาจ
ตัวละครหลากมิติ: ทั้งฝั่ง “พระเอก” และ “วายร้าย” ต่างมีแรงจูงใจที่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครถูกหรือผิดแบบขาวดำ
งานโปรดักชันละเอียด: ฉาก The Fold, การใช้พลัง Grisha และฉากการต่อสู้ในเมืองลับ ล้วนทำได้อย่างมีระดับ ไม่แพ้ซีรีส์ฝั่งตะวันตกเรื่องใหญ่ๆ
เนื้อเรื่องที่ไม่กลัวจะเจ็บ: ความสูญเสีย การหักหลัง และความรู้สึกขัดแย้งในใจตัวละคร ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าความแฟนตาซีนี้มีเดิมพันจริง
แต่ยังมีข้อสังเกตเล็กน้อย คือ ซีซั่น 2 แม้จะน่าตื่นเต้นมากขึ้น แต่บางพล็อตย่อยก็อาจกระโดดเร็วไปนิด โดยเฉพาะหากคนดูยังไม่รู้จักจักรวาลหนังสือมาก่อน บางความสัมพันธ์และเส้นเรื่องอาจรู้สึกเฉยๆ หรือยังไม่อินเท่าที่ควรในตอนแรก

ใครบ้างที่อาจชอบซีรีส์เรื่องนี้
แฟนแฟนตาซีสาย “มีชั้นเชิง” ไม่ใช่แค่แอ็กชันวาบหวิว แต่มีโลก มีตรรกะ และความลึกในใจตัวละคร
คนที่ชอบงานภาพสวย ดนตรีดี และความโรแมนติกแบบ bittersweet
ผู้ชมที่ชอบเรื่องราวที่ “ไม่มีพระเอกแท้” แต่มีตัวละครเทาๆ เต็มไปหมด
บทสรุป
Shadow and Bone คือซีรีส์แฟนตาซีที่พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกเวทมนตร์ยังมีอะไรให้เล่าอีกมากมาย และไม่จำเป็นต้องมีแค่ฮีโร่หรือวายร้ายแบบแบนๆ เพราะใน Grishaverse นี้… ทุกตัวละครล้วนอยู่ในพื้นที่สีเทา และแสงสว่างนั้นไม่มีวันส่องถึงทุกคน