
ในโลกของภาพยนตร์ไซไฟ มีไม่กี่เรื่องที่สามารถทิ้งร่องรอยความล้ำไว้ในประวัติศาสตร์ได้ชัดเจนเท่ากับ TRON และตอนนี้ แฟน ๆ ทั่วโลกต่างจับตามองการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์นี้อีกครั้งใน Tron: Ares ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 9 ตุลาคม 2025 พร้อมประกาศจากดิสนีย์อย่างเป็นทางการ
นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของภาคต่อ… แต่มันคือการปลุกชีวิตของจักรวาลไซไฟสุดล้ำที่เงียบหายไปกว่า 15 ปีให้ฟื้นคืนอีกครั้ง!
ย้อนรอยจักรวาล TRON: จากภาพยนตร์ทดลองสู่ตำนานดิจิทัล
TRON (1982) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไซไฟยุคแรกที่กล้าท้าทายโลกแห่งเทคโนโลยีด้วยวิสัยทัศน์ที่เหนือยุคสมัย แม้ในช่วงแรกจะไม่ได้รับเสียงตอบรับในแง่รายได้ แต่กลับกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่นักสร้างหนังรุ่นหลังหยิบยกมาอ้างอิงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์โลกดิจิทัล การใช้ CGI ในระดับปฏิวัติวงการ หรือแนวคิด “มนุษย์ในโลกข้อมูล”
ปี 2010 ดิสนีย์รื้อแฟรนไชส์นี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ Tron: Legacy พร้อมทุ่มทุนสร้างเพื่อเติมเต็มจินตนาการของโลก “The Grid” ด้วยภาพ 3D สุดตระการตา ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ระดับตำนานโดย Daft Punk และการผสมผสานไซไฟเข้ากับอารมณ์ครอบครัว ทำให้หนังภาคนี้กลายเป็นผลงานคัลต์ของคนรุ่นใหม่แม้เสียงวิจารณ์จะผสมปนเป
TRON: ARES – ภารกิจจากโลกดิจิทัลสู่โลกจริง
Tron: Ares ไม่ใช่เพียงภาคต่อในเชิงเนื้อเรื่อง แต่เป็นการยกระดับแนวคิดของแฟรนไชส์นี้ไปอีกขั้น ว่ากันว่านี่คือครั้งแรกที่ “สิ่งมีชีวิตจากโลกดิจิทัล” จะเดินทางข้ามมา “โลกแห่งความเป็นจริง”
ตัวละครหลักคือ Ares สิ่งมีชีวิตเสมือนจริงที่ได้รับภารกิจลึกลับจากโลก The Grid ให้มายังโลกมนุษย์ เพื่อตอบโต้หรือแก้ไขบางสิ่งบางอย่าง—ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ
โดยบทบาท Ares นำแสดงโดย Jared Leto นักแสดงมากฝีมือที่เคยคว้ารางวัลออสการ์ และมีบทบาทที่โดดเด่นทั้งใน Dallas Buyers Club, Blade Runner 2049 และ Morbius
การเลือก Leto มารับบทนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของดิสนีย์ที่จะยกระดับภาพยนตร์ให้หนักแน่นด้านการแสดง ไม่ใช่เพียงงานวิชวลเท่านั้น
ตัวอย่างเป็นทางการ ภาพยนตร์ Tron: Ares โดย Disney
ภาพจากตัวอย่างภาพยนตร์ (คลิกเพื่อดูรูปเต็ม)
เบื้องหลังโปรเจกต์: ทีมงานที่สร้างความหวังใหม่ให้ TRON
ผู้กำกับ Joachim Rønning เจ้าของผลงานอย่าง Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales และ Maleficent: Mistress of Evil จะมารับหน้าที่พาภาคนี้ไปข้างหน้า พร้อมทีมเขียนบทนำโดย Jesse Wigutow ที่พัฒนาบทนี้มายาวนานนับทศวรรษ
จากแหล่งข่าวในวงใน การถ่ายทำเกิดขึ้นที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยมีการใช้เทคโนโลยี CGI, virtual production และ practical effects ร่วมกัน เพื่อให้ “ความจริง” และ “โลกจำลอง” ดูกลมกลืนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทำความรู้จักตัวละครใน Tron: Ares

ขอบคุณรูปภาพจาก The Playlist
นอกจาก Jared Leto แล้ว นักแสดงคนอื่น ๆ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ได้แก่:
Greta Lee นักแสดงจาก Past Lives และ Russian Doll
Evan Peters จาก Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story และ X-Men
Cameron Monaghan จาก Shameless และเกม Star Wars Jedi: Fallen Order
Gillian Anderson จาก The X-Files และ Sex Education
ยังไม่มีการเปิดเผยบทบาทของแต่ละคน แต่แฟน ๆ คาดเดาว่าจะมีทั้งตัวละครฝ่ายมนุษย์ ผู้เกี่ยวข้องกับ Ares และอาจรวมถึง “องค์กร” ที่พยายามควบคุมการเดินทางข้ามมิติของสิ่งมีชีวิตดิจิทัล
ธีมล้ำยุคที่สะท้อนยุคจริง
Tron: Ares ดูจะพัฒนาแนวคิดไซไฟของภาคก่อนหน้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยประเด็นเรื่อง “ความจริง” vs. “โลกเสมือน” และการที่เทคโนโลยีเริ่มมีอิทธิพลเหนือมนุษย์
คำถามสำคัญในหนังอาจไม่ใช่แค่ว่า “มนุษย์จะควบคุมเทคโนโลยีได้หรือไม่” แต่คือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่เราสร้างขึ้น… เริ่มมีอารมณ์ ความคิด และอำนาจ?”
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่หนังจะแตะประเด็นเรื่อง AI, การรับมือกับความเป็นจริงใหม่ และบทบาทของมนุษย์ในโลกที่ซ้อนกันระหว่างความจริงและโค้ด
เสียงเรียกร้องจากแฟน ๆ และการกลับมาที่ถูกจับตามอง
แม้ว่าโปรเจกต์ TRON จะเคยถูกดิสนีย์ “พับเก็บ” ไปช่วงหนึ่งหลังจาก Tron Legacy ไม่ทำรายได้ตามที่หวัง แต่เสียงเรียกร้องจากแฟน ๆ ทั่วโลกไม่เคยหายไป โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียและคอมมูนิตี้ภาพยนตร์ไซไฟ ที่ยังพูดถึงดีไซน์, เพลงประกอบ, และการออกแบบโลกของทรอนอย่างต่อเนื่อง
การกลับมาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “การคืนชีพของภาพยนตร์” แต่เป็นการตอบแทนแฟน ๆ ที่รอคอยอย่างอดทนมานานกว่า 15 ปี
บทสรุปปิดท้าย: โลกอนาคตจะเริ่มต้นอีกครั้งใน 2025
Tron: Ares คือการทดลองครั้งใหม่ของดิสนีย์ที่กล้าฉีกแนวจากจักรวาลที่เน้นแต่แฟนตาซีและซูเปอร์ฮีโร่ มาเป็นโลกไซไฟสุดหม่น เงียบ และลึกกว่าเดิม
หากการเดินทางของ Ares สำเร็จ หนังเรื่องนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ จักรวาล TRON ยุคใหม่ ที่ไม่ได้อยู่แค่ใน The Grid แต่รวมไปถึงโลกความจริงที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่
9 ตุลาคม 2025 โลกแห่งโค้ดจะเดินทางข้ามพรมแดนเพื่อท้าทายความจริงบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง คุณพร้อมหรือยัง?